<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เครื่องขุด Bitcoin กว่า 6 แสนเครื่องถูก ‘ชักปลั๊ก’ หลังราคาร่วงอย่างแรง กล่าวโดยผู้ก่อตั้ง F2pool

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เครื่องขุด Bitcoin จำนวนตั้งแต่ 600,000 – 800,000 เครื่องได้ถูกดึงปลั๊กออกตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ท่ามกลางการร่วงลงของราคาเหรียญนับตั้งแต่ช่วงนั้น อ้างอิงจาก pool ขุดเหรียญคริปโตอันดับสามของโลก

นาย Mao Shixing ผู้ก่อตั้ง pool ขุด Bitcoin นาม F2pool ให้สัมภาษณ์กับ CoinDesk ว่าบริษัทของเขานั้นได้ทำการประมาณจำนวนแรงขุด หรือ hashrate ที่ร่วงลงอย่างมาก รวมถึงจำนวนแรงขุดของเครื่องรุ่นเก่าที่มีน้อยหากเทียบกับของรุ่นใหม่ ทำให้ไม่สามารถขุดได้คุ้มกับค่าไฟอีกต่อไป

โดยอ้างอิงข้อมูลจาก blockchain.info นั้น จำนวน hashrate ในเครือข่าย Bitcoin ทั้งหมดในเครือข่ายได้ตกลงจาก 47 tera hash ต่อวินาที (TH/s) เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ลงมาเหลือ 41 ล้าน TH/s ในวันที่ 24 พฤศจิกายน ซึ่งคิดเป็นตัวเลขที่ 13 เปอร์เซน

นาย Mao อธิบายว่านักขุดส่วนใหญ่ที่หยุดการขุดของพวกเขานั้นอาจเป็นกลุ่มคนที่ใช้เครื่องขุดรุ่นเก่า ๆ อย่างเช่น Antminer T9+ จาก Bitmain และ AvalonMiner 741 จาก Canaan Creative ซึ่งเครื่องขุดเหล่านี้มีกำลังโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 10 TH/s และคาดว่ากำลังขาดทุนอยู่ในขณะนี้ อ้างอิงจากค่า index ของการทำกำไรจากการขุดของ F2pool

อันที่จริงแล้วจำนวน hashrate ของ Bitcoin บน F2pool ในขณะนี้คิดเป็น 11.4% ของเครือข่ายทั้งหมดนั้นก็ลดลงไปเป็นจำนวนมากกว่า 10% เช่นกันในสัปดาห์ที่ผ่านมา กล่าวโดยนาย Mao

“มันเป็นเรื่องยากที่จะคำนวณตัวเลขที่แน่ชัดของนักขุดที่ดึงปลั๊กไปแล้ว แต่เราได้เห็นตัวเลขนับหมื่นของเครื่องขุดที่ดึงปลั๊กไปแล้วในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา อ้างอิงจากการสนทนาของพวกเขากับบริษัทนักขุดขนาดใหญ่ที่เราไปคุยด้วย” เขากล่าว พร้อมเสริมว่า

“นี่คือสิ่งที่นักขุดในจีนกำลังเผชิญ”

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นาย Mao ได้แชร์ภาพของผู้ชายคนหนึ่งเก็บเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าไปในกล่องผ่าน Weibo ของเขา พร้อมกับคำอธิบายบนภาพว่า “การดึงปลั๊กนั้นไม่ใช่ทางเลือก ตอนนี้ตั้งชั่งกิโลขายแล้ว”

โพสดังกล่าวได้กลายมาเป็นข่าวใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ แต่นาย Mao ก็ให้สัมภาษณ์กับ CoinDesk โดยกล่าวว่าตอนที่เขาเขียนโพสดังกล่าว เขาไม่ได้จริงจังมากสักเท่าไรนัก แค่ “ขำ ๆ” พร้อมอธิบายว่า

“เครื่องขุดเหล่านั้นที่ถูกชั่งกิโลขายเป็นเครื่องขุดที่เก่าแล้ว และไม่สามารถถูกนำมาใช้ได้อีก ดังนั้นพวกเขาจึงนำมันไปขาย เพื่อที่จะนำทองแดงจากเครื่องขุดไปใช้ผลิตเครื่องใหม่ ๆ ต่อได้”

ฤดูหนาวกำลังมา

นาย Mao กล่าวว่ามันมีหลายปัจจัยที่ทำให้นักขุดต้องทนอยู่ในตลาดไม่ไหวและต้องถูกกำจัดออกไป ซึ่งนั่นรวมถึงการร่วงลงของราคาหลังจากการ hard fork ของ Bitcoin Cash เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา รวมถึงการเพิ่มขึ้นของอัตราค่าไฟในประเทศจีนด้วย และการที่นักขุดส่วนใหญ่ในจีนกำลังแข่งกันอัพเกรดเครื่องขุดของพวกเขา ทำให้เครื่องขุดรุ่นเก่า ๆ ไม่สามารถสู้กับตลาดที่เชี่ยวกรากมากขึ้นได้อีกต่อไป

“ปัจจัยเหล่านี้กำลังถาโถมเข้ามา ซึ่งนั่นส่งผลทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น” กล่าวโดยนาย Mao

ในขณะที่ฤดูหนาวกำลังเข้ามาเยือนประเทศจีนนั้น ส่งผลทำให้โรงงานไฟฟ้าพลังน้ำต้องทำงานได้ลำบากมากขึ้น ซึ่งนั่นทำให้อัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นเป็นสองเท่าจากตอนฤดูร้อนที่ผ่านมา

นาย Mao เผยว่าค่าไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อนของภาคตะวันออกเฉียงใต้ในจีนนั้นมักจะอยู่ที่ 0.2 หยวน หรือ 0.95 บาทต่อ 1KW/h แต่ในขณะนี้ เรทค่าไฟฟ้าได้พุ่งขึ้นไปที่ 0.3 หยวน (1.43 บาท)

และในขณะที่โรงงานไฟฟ้าพลังงานถ่านหินที่อื่นอย่างเช่นในมณฑลซินเจียงจะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้โดยปกติ แต่ค่าไฟฟ้านั้นอยู่ที่ประมาณ 0.28 หยวนต่อ 1KW/h กล่าวโดยนาย Mao

เมื่อราคาของ Bitcoin ได้ร่วงลงไปต่ำกว่า 4,000 ดอลลาร์ ส่งผลทำให้เหมืองขุดที่เคยซื้อเครื่องขุดมาเมื่อปี 2016-2017 นั้นไม่สามารถขุดได้ถึงจุดคุ้มทุนค่าไฟฟ้าได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ฟาร์มขุดเหล่านั้นต้องดึงปลั๊กออกนั้นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเลิกขุดอย่างถาวรไปเลย

การขุด Bitcoin นั้นมันเป็นเรื่องของการปรับตัวตามสภาพตลาดให้ยืดหยุ่นได้มากที่สุด” กล่าวโดยนาย Mao ซึ่งนั่นหมายความว่าหากจำนวนแรงขุดร่วงลง ค่าความยากในการขุดก็จะลดลงด้วยเช่นกัน ข้อมูลล่าสุดเผยว่าค่าความยากนั้นได้ลดลงมาแล้วประมาณ 5% จากในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

การปรับตัวล่าสุดนั้นอาจทำให้นักขุดที่ยังไม่ยอมแพ้ต้องเดินหน้าขุดต่อไป นาย Mao กล่าวสรุปในตอนท้ายว่า

“การเปลี่ยนแปลงของค่าความยากในการขุด Bitcoin นั้นมักจะใช้เวลาประมาณ 14 วัน [ตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงของ hashrate] หลังจากที่มรสุมนี้ผ่านไปแล้ว ผู้ที่ยังคงเหลือรอดอยู่ในตลาดก็จะได้พบกับสิ่งที่ดีกว่า”

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น