<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เว็บเทรดคริปโตสัญชาติไทย Satang เตรียมระดมทุนผ่านการขายเหรียญ STO ตั้งเป้า 327 ล้านบาท

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

บริษัทผู้ให้บริการซื้อขายเหรียญคริปโตสัญชาติไทยที่มีผู้ก่อตั้งเป็นคนเดียวกับเหรียญ ZCoin นายปรมินทร์ อินโสม นามว่า Satang Corp. เตรียมวางแผนระดมทุนโดยตั้งเป้าไว้ที่ 10 ล้านดอลลาร์ (327 ล้านบาท) ผ่านการเขียนเหรียญ security token offering (STO) ท่ามกลางตลาดขาลง อ้างอิงจากรายงานของเว็บข่าว Nikkei Asian Review เมื่อวานนี้

นายปรมินทร์เผยว่าแผนการของ Satang นั้นได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยในการทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้าน blockchain และช่วยเหลือการพัฒนาร่างกฎหมายด้านสกุลเงินดิจิทัลและ blockchain โดยการระดมทุนรอบแรกนั้นจะมีขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2019

สำหรับวิธีในการระดมทุนนั้น Satang วางแผนที่จะใช้เงินที่ระดมทุนมาได้จำนวน 9.9 ล้านดอลลาร์มาเพื่อพัฒนากระเป๋า e- wallet ที่จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้เพื่อจ่ายเงินได้ และรวมถึงการก่อตั้ง Satang Shops ในจุดท่องเที่ยวต่าง ๆ ในจังหวัดภูเก็ต และพัทยาด้วย

ปัจจุบันกฎหมายด้านการระดมทุนผ่าน STO ในประเทศไทยนั้นกำลังอยู่ในพื้นที่สีเทา เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาทางสยามบล็อกเชนได้รายงานข่าวไปแล้วว่านางทิพยสุดา ถาวรามร รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เผยว่าการระดมทุนผ่านเหรียญคริปโตอย่าง STO นั้นยังเป็นที่ “เถียงกันไม่จบว่า token บางอย่างเป็นหลักทรัพย์หรือไม่ ช่วงหลังๆ ผู้ออกยอมรับไปเลยว่า token ของตัวเป็นหลักทรัพย์ ก็ทำตามเกณฑ์หลักทรัพย์”

แต่อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทในไทยออกไประดมทุนที่ต่างประเทศผ่าน STO นั้นทางก.ล.ต.ไม่สามารถห้ามได้

ก่อนหน้านี้ทางสยามบล็อกเชนยังได้รายงานข่าวถึงการที่พรรคประชาธิปัตย์ได้นำเอาเทคโนโลยี Blockchain ของ ZCoin ไปใช้เพื่อการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันการโกงการเลือกตั้ง นายปรมินทร์เผยว่าสมาชิกที่ลงสมัครเลือกตั้งนายกและคณะกรรมการการเลือกตั้งมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของการเก็บข้อมูลผลการโหวตและกลัวว่ามันจะมีการฉ้อโกงและความไม่เป็นธรรมในระบบ

“ผมเชื่อว่าเราประสบความสำเร็จไปอีกก้าวหนึ่งในแง่ของการเมืองและหวังว่าพรรคการเมืองพรรคอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งผู้ปกครองไม่ใช่แทคในประเทศไทยแต่รวมถึงประเทศอื่น ๆ ด้วยควรที่จะหาทางนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้กับการโหวตทางอิเล็กทรอนิกส์ให้มากขึ้น” กล่าวโดยนายปรมินทร์

นอกจากนี้กรมสรรพากรแห่งประเทศไทยยังมีแผนการที่จะนำเอาเทคโนโลยี Blockchain ไปใช้เพื่อป้องกันการโกงภาษีมูลค่าเพิ่มอีกด้วย โดยดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีสรรพากรเผยว่าเทคโนโลยีดังกล่าว สามารถถูกนำมาใช้เพื่อช่วยตรวจสอบและกำจัดใบกำกับภาษีของปลอมได้

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น