มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในการแสวงหาช่องทางซึ่งมีความน่าเชื่อถือในการใช้สกุลเงินคริปโต อีกทั้งเมื่อค่าธรรมเนียมในการซื้อขายแลกเปลี่ยน BTC นั้นพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงปี 2017 ผู้ค้ารายย่อยหลายรายได้หนีหายออกไปจากตลาดคริปโตและยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาในช่วงเร็ววันนี้ ด้วยระบบ Lightning Network จะเสร็จสมบูรณ์อย่างถาวรในอีกไม่ถึง 6 เดือนนี้ รวมทั้งรูปแบบการชำระเงินออนไลน์เช่น payment gateways ต่างๆนั้นได้ถูกก่อตั้งเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เดบิตการ์ดสำหรับคริปโตนั้นเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ได้รับความนิยมมากในการใช้แลกเปลี่ยนสกุลเงินคริปโตเป็นสกุลเงินทั่วไป อย่างไรก็ตามการดำเนินธุรกิจการแลกเปลี่ยนสกุลเงินคริปโตและสกุลเงิน ทั่วไปนั้นมีความยากลำบาก โดยเฉพาะการที่ต้องดำเนินการตามที่กฎเกณฑ์กำหนดไปพร้อมๆกัน ประกอบกับแรงกดดันจากบริษัทด้านการชำระเงินยักษ์ใหญ่อย่าง Visa และ Mastercardแล้ว ยิ่งทำให้การดำเนินธุรกิจเดบิตการ์ดสำหรับคริปโตนั้นมีความยากมากขึ้นไปอีก
การลองผิดลองถูกและความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจ Exchange
การแลกเงินสกุลทั่วไปโดยอาศัยสกุลเงินคริปโตนั้นยากกว่าที่จะซื้อคริปโตโดยอาศัยสกุลเงินทั่วไปในการซื้อเหรียญมาก โดยในปีที่ผ่านมาการดำเนินธุรกิจเดบิตการ์ดสำหรับคริปโตนั้น ถือได้ว่าเป็นสะพานสำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างโลกของสกุลเงินทั้งสอง กล่าวคือระหว่างโลกของเงินในรูปแบบเดิมซึ่งถูกควบคุมโดยส่วนกลางกับโลกของเงินแห่งอนาคตซึ่งปราศจากการถูกควบคุมจากส่วนกลาง ซึ่งในหลายครั้งเงินทั้งสองรูปแบบนั้นอาจจะหาจุดที่ลงตัวร่วมกันไม่ได้เสมอไป ทางบริษัทซึ่งดำเนินการให้บริการเดบิตการ์ดสำหรับคริปโตอย่างเช่น Bitpay, Wirex, และ Revolut โดยได้มีผู้ใช้งานถึงหลักหมื่นคน อีกทั้งแม้จะมีชื่อเสียงด้านความเป็นส่วนตัวที่ต่ำ แต่กลับมีประโยชน์ได้ด้านความสะดวกมากซึ่งสามารถทดแทนข้อเสียดังกล่าวได้
อย่างไรก็ตาม จากผู้ถือบัตรเดบิตสำหรับคริปโตหลายรายได้ค้นพบในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมานี้ว่าผู้ให้บริการของพวกเค้ายืนอยู่บนข้อสัญญาซึ่งเปรียบเสมือนเส้นด้ายบางๆระหว่างผู้ให้บริการเดบิตการ์ดและผู้ให้บริการประมวลผลการชำระเงินซึ่งข้อสัญญาดังกล่าวนั้นส่งผลให้ผู้ให้บริการประมวลผลการชำระเงินนั้นสามารถยกเลิกสัญญาได้ในทันที โดยผลคือการที่ผู้ให้บริการเดบิตการ์ดและผู้ใช้งานนั้นอาจถูกลอยแพได้ทุกเมื่อ ทางสื่อจาก News.Bitcoin.com ได้มีการพูดคุยกับบริษัทซึ่งให้บริการบัตรคริปโตสองราย คือ Wirex และ Revolut รวมถึงผู้ดำเนินกิจการด้านระบบข้อมูลการขายหรือ point-of-sale อย่าง Paytomat เกี่ยวกับความท้าทายในการดำเนินธุรกิจการแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินคริปโตและสกุลเงินทั่วไป
การมีชัยชนะเหนือผู้ให้บริการระบุตัวตนโดยธนาคารหรือ BIN
นาย Pavel Matveev ผู้บริหารของบริษัท Wirex ได้กล่าวว่า “เทคโนโลยี Blockchain นั้นไม่ถูกตีกรอบจำกัดเขตโดยสภาพทางภูมิศาสตร์ และยังสามารถที่จะเข้าถึงได้จากทุกพื้นที่ แต่กรณีบัตรคริปโตนั้นต่างออกไปและยังมีความยุ่งยากกว่ามาก โดยต้องเกี่ยวพันกับแนวปฎิบัติ กฎเกณฑ์และสภาพทางภูมิศาสตร์ของแต่ะพื้นที่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นความท้าทายที่เกิดขึ้นหลายรูปแบบในการเปิดตัวบัตรซึ่งสนับสนุนการใช้คริปโตในแต่ละประเทศ” อีกทั้งเค้ายังได้กล่าวถึงหนึ่งในความท้าทายอย่างเช่นหน้าที่ของ “ผู้ออกบัตรและดำเนินการให้เปิดบัญชีในการที่จะต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานซึ่งกำกับดูแลในพื้นที่นั้นๆ อย่างเช่น สถาบันการกำกับการแลกเปลี่ยนเงินสดเป็นเงินดิจิทัล หรือหน่วยงานอื่นๆในรูปแบบเดียวกัน”
ผู้บริหารดังกล่วนั้นยังได้กล่าวถึงความจำเป็นในการที่จะต้องมี “ผู้ให้บริการระบุตัวตนโดยธนาคาร (BIN sponsor) ” อย่างเช่นบริษัทที่ดำเนินการประมวลผลเครือข่ายการชำระเงินผ่านบัตรต่างๆอย่างเช่น Visa หรือ Mastercard โดยเค้ายังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ผู้ให้บริการระบุตัวตนโดยธนาคาร (BIN sponsor) ต่างมีความลังเลที่จะดำเนินการร่วมกับทางบริษัท Wirex เนื่องจากเห็นว่าโมเดลกำดำเนินงานของพวกเราเกี่ยวข้องกับสกุลเงินคริปโต” แต่อย่างไรก็ตาม Matveev ได้กล่าวว่าผู้ให้บริการเหล่านั้นเริ่มที่จะเปิดใจให้กับสกุลเงินคริปโตมากขึ้นแล้ว
เราสามารถใช้จ่ายด้วยเงินคริปโตได้จริงๆ หรือทั้งหมดมันเป็นแค่ภาพลวงตากันแน่?
ทางสื่อ News.Bitcoin.com ยังได้พูดคุยกับบริษัท Paytomat ซึ่งดำเนินการให้บริการช่องทางการชำระเงินผ่านคริปโตแก่ผู้ค้าขายต่างๆ ถึงโครงการการระดมทุนแบบใหม่หรือที่เรียกว่า IEO สำหรับบริษัทซื้อขายแลกเปลี่ยนชื่อ Exmo ที่จะดำเนินการให้บุคคลทั่วไปสามารถใช้สกุลเงินคริปโตกว่า 18 สกุลรวมทั้ง BCH, ETH, ZEN, และ BTC ในการซื้อขายสินค้าออนไลน์รวมถึงในร้านค้าต่างๆได้ โดยทางบริษัทได้มีการพูดคุยถึงความท้าทายต่างๆสำหรับการดำเนินการใน 9 ประเทศ ซึ่งเป็นการสร้างความเข้าใจที่มากขึ้นในส่วนของกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องของแต่ละประเทศที่มีความแตกต่างกันเป็นอย่างมากเช่นระหว่างประเทศเวเนซุเอลาและประเทศเกาหลีใต้ โดยได้อธิบายว่า
“การศึกษานั้นยังคงเป็นส่วนที่มีความสำคัญมากที่สุดในการผลักดันให้ผู้ค้ารายย่อยทั้งหลายนั้นเปิดใจรับสกุลเงินคริปโต และเมื่อผู้ค้าต่างๆได้เห็นถึงความสะดวกในการนำสกุลเงินคริปโตไปผสมผสานกับระบบการค้าขายของพวกเค้า โดยปราศจากการเพิ่มต้นทุนทางด้านอุปกรณ์ให้ยุ่งยาก ดังนั้นจึงเป็นการง่ายที่จะพวกเขาจะรู้สึกประทับใจกับการดำเนินการดังกล่าว และแม้ว่าต้องอาศัยเวลาพอสมควร แต่เห็นได้ชัดว่าการยอมรับสกุลเงินคริปโตในระบบข้อมูลการขายนั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”
อย่างไรก็ตามยังคงมีบุคคลซึ่งจะคอยตั้งคำถามถึงการดำเนินการดังกล่าวจนกว่าสกุลเงินคริปโตต่างๆนั้นจะถูกใช้ได้โดยตรงในขณะที่มีการซื้อขาย แม้ว่ามันจะไม่เป็นการแสดงถึง ‘การใช้จ่ายด้วยคริปโตอย่างแท้จริง’ เลยก็ตาม การให้เหตุผลแบบนี้เป็นการขัดขวางการดำเนินการของบริการบัตรเดบิตสำหรับคริปโตโดยการกำหนดเชิงบังคับให้ผู้ใช้ต้องทำการแลกเปลี่ยนสกุลเงินคริปโตเป็นสกุลเงินทั่วไปในจำนวนมากๆ แล้วจึงใช้บัตรเดบิตเสมือนว่าเป็นบัตรเครดิตที่ได้มีการชำระเงินไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และไม่ว่าบัตรเดบิตคริปโตนั้นจะเป็นการใช้จ่ายเงินอย่างแท้จริงในความหมายตามความตั้งใจของ Satoshi หรือไม่ก็ตาม บัตรดังกล่าวยังคงเป็นช่องทางที่ง่ายที่สุดในการใช้จ่ายสกุลเงินคริปโตในตอนนี้
หนทางอันแสนลำบากสำหรับการนำคริปโตมาใช้
“เป้าหมายของเราคือการดำเนินการในทุกประเทศได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย” ซึ่งเป็นการกล่าวยืนยันโดยผู้บริหารของ Wirex เอง ทั้งยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “อย่างไรก็ตามกระบวนการดังกล่าวนั้นใช้เวลาค่อนข้างมาก อีกทั้งยังต้องอาศัยทรัพยากรมนุษย์และทรัพยากรทางการเงินเป็นจำนวนมาก” “พวกเราจึงได้ดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป และค่อยๆขยายการดำเนินการขึ้นเรื่อยๆอย่างพอสมควร สำหรับบริษัทอื่นๆซึ่งได้เริ่มเข้าสู่ตลาดและให้บริการบัตรเดบิตสำหรับคริปโตนั้นยังต้องใช้เวลาอีกมากในการตามให้ทันพวกเรา อีกทั้งความต้องการในทรัพยากรมนุษย์ การประมวลผล กระบวนการดำเนินการ และผู้ร่วมดำเนินการสำหรับบริษัทเหล่านั้นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เห็นได้จากการที่ต้องอาศัยความทุ่มเทและความยุ่งยากที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้”
การคาดคะเนของนาย Matveev ถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นแก่บริษัทผู้ให้บริการบัตรเดบิตสำหรับคริปโตหน้าใหม่ๆนั้นแม่นยำอย่างมาก เห็นได้ชัดจากในขณะที่หลายโครงการกำลังก้าวหน้าในอุตสาหกรรม ยังมีโครงการอื่นๆอีกที่ต้องพ่ายแพ้กลับไป บริษัท Polispay จากเม็กซิโกได้ถูกบังคับให้ต้องยกเลิกบัตรเดบิตสำหรับคริปโตของตนซึ่งผูกกับผู้ให้บริการอย่าง Mastercard สำหรับผู้ใช้ซึ่งอยู่นอกประเทศแถบลาตินอเมริกา บริษัทดังกล่าวจึงเข้าสู่กลุ่มโครงการด้านสกุลเงินคริปโตซึ่งถูกปฏิเสธจากโลกของเงินสด
สำหรับโครงการ Eastern European นั้นเป็นกรณีที่น่าสนใจ ซึ่งโครงการดังกล่าวนั้นได้มีผลการดำเนินการที่น่าประทับใจโดยการพัฒนาความยอมรับต่อสกุลเงินคริปโตต่อเหล่าผู้ค้ารายย่อยทั้งหลาย ทางฝั่งบริษัท Wirex และบริษัท Revolut ซึ่งทั้งสองนั้นเป็นบริษัทสัญชาติอังกฤษที่มีแนวร่วมที่เข้มแข็งจากประเทศรัสเซีย ในขณะที่บริษัท Paytomat นั้นมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง Tallinn ประเทศเอสโตเนีย นาย Vlad Yatsenko ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานฝ่ายเทคโนโลยีของ Revolut ได้ให้ความเห็นไว้ว่า “การแยกตัวออกเป็นเอกเทศจากระบบการเงินที่มีอยู่ในขณะนี้” นั้นยังคงเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการขยายฐานการยอมรับและการนำไปใช้ ซึ่งเมื่อได้มีการถามถึงแนวคิดของเค้าเกี่ยวกับการดำรงอยู่ในระยะยาวของบัตรเดบิตสำหรับคริปโตในฐานะของหนึ่งในวิธีการขยายฐานการยอมรับแล้ว นาย Yatsenko ได้แสดงความเห็นว่า “ถ้าหากตัวคริปโตนั้นยังคงรักษาความเป็นสิ่งซึ่งคงมูลค่าไว้ในตัวเองแล้ว บัตรเดบิตสำหรับคริปโตนั้นย่อมยังคงมีประโยชน์อยู่ในฐานะของสะพานซึ่งเชื่อมต่อระหว่างสกุลเงินคริปโตและสกุลเงินทั่วไป”
ทางนาย Vlad Yatsenko ยังได้กล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของผลประโยชน์ที่เหมาะสมซึ่งเป็นแรงจูงใจ ให้แก่ผู้สนันสนุนสกุลเงินคริปโตทั้งหลายในการร่วมดำเนินการผลักดันให้มีการยอมรับและนำไปใช้ในท่ามกลางผู้ค้าต่างๆว่า “Bitcoin นั้นจะยังไม่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปจนกว่าผู้คนจะสามารถซื้อสินค้าและบริการได้ด้วยสกุลเงินคริปโต เช่นเดียวกันการซื้อขายจากผู้ค้าต่างๆทั่วไป” ด้วยเหตุผลที่ว่า “กฎเกณฑ์และกฎหมายของรัฐบาลนั้นจะเปลี่ยนแปลงตามตลาดโดยอาศัยหลักฐานของการนำมาใช้งานทางเศรษฐกิจโดยชัดแจ้ง” สำหรับสกุลเงินคริปโต อย่างไรก็ตามการยอมรับสกุลเงินครปโตท่ามกลางเหล่าผู้ค้านั้นได้ลดลงเป็นอย่างมากในช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยมีบริษัท Twitch และ Streamlabs เป็นบริษัทล่าสุดซึ่งได้หยุดการยอมรับการชำระเงินโดยสกุลเงินคริปโต
ดังนั้นแล้ว ผู้ให้บริการบัตรเดบิตสำหรับคริปโตนั้นยังคงเป็นเสมือน ‘สัตว์ซึ่งใกล้จะสูญพันธุ์’ ในตลาด โดยมีผู้ให้บริการในตลาดเหลือเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดสนับสนุนการชำระเงินโดยสกุลเงินคริปโต และหากบริษัททั้งหมดนั้นสามารถที่จะอยู่รอด และเติบโตได้ สกุลเงินคริปโตก็จะยังคงอยู่ในฐานะของตัวกลางการซื้อขายสืบไปเช่นเดียวกัน
ที่มา : news.bitcoin
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น