ตั้งแต่ในช่วงเวลาแห่งการเกิดขึ้นของ BTC ในปี 2008 ไม่นาหลังช่วงเวลาที่ทั่วโลกโดยเฉพาะในสหรัฐฯอเมริกาประสบปัญหาทางเศรษฐกิจซึ่งได้ส่งผลให้ตลาดทางการเงินได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก อีกทั้งยังตามมาด้วยเหตุการณ์ที่ตลาดหุ้นได้ล้มลงและเหตุการณ์ฟองสบู่แตกที่เหล่าธนาคารกลางต้องออกมาช่วยอุ้มเศรษฐกิจไว้
การเข้ามาช่วยนี้ เหล่าธนาคารกลางได้ใช้มาตรการ Open Market Operations (OMOs) และ Quantitative Easing (QE) ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและคงกองทุนเพื่อแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจไว้ ซึ่งในอีกฝากโลกก็ยังได้ประสบปัญหาเดียวกัน เช่นสหภาพยุโรปซึ่งนำมาตรการ QE มาใช้เช่นเดียวกัน หรือในประเทศญี่ปุ่นซึ่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาเกือบถึง 0%
ทั้งนี้นักลงทุนรายหนึ่งซึ่งเป็นผู้บริหารกองทุน Hedge Fund แห่งหนึ่งได้ออกมากล่าวให้ความเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของกระบวนทัศน์ (Paradigm) ของวงการทางการเงินนั้นกำลังจะมาถึงในไม่ช้าแล้ว และเขานั้นก็ได้แนะนำให้ซื้อทองคำ ทว่าหลังจากนั้นเหล่าสาวกคริปโตหลายคนในวงการมองว่าเป็นการให้คำแนะนำว่ามันถึงเวลาแล้วสำหรับการเข้ากอบโกย Bitcoin ด้วยเช่นกัน
ถึงเวลาซื้อทอง ถึงเวลาซื้อ Bitcoin
นาย Ray Dalio ผู้บริหารร่วมของบริษัท Bridgewater Associates ได้ออกมากล่าวถึงการเปลี่ยนกระบวนทัศน์(Paradigm)ของวงการทางการเงินโดยชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจในปัจจุบันนี้กำลังเข้าสู่ช่วงยากลำบากแล้ว อีกทั้งยังได้แสดงความเห็นต่อมาตรการที่เหล่าธนาคารกลางของแต่ละประเทศใช้โดยต่างก็ปรับตัวค่าเงินของประเทศตนเองลงเพื่อเป็นการผลักดันเศรษฐกิจ ว่าไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่เนื้อในอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ตัวเค้าได้นำเหตุการณ์การในอดีตต่างๆมาเป็นตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นด้วย โดยเขาได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในครั้งต่อไปนี้ว่า
“มูลค่าของเงินนั้นจะลดลงอย่างมาก อีกทั้งเราจะเห็นความขัดแย้งเกิดขึ้นทุกแห่งบนโลก จากนั้นพวกเราต่างมองหาสินทรัพย์ประเภทอื่นๆที่มีค่ามากกว่าอย่างทองคำ”
ทั้งนี้ตัวเค้าได้ออกมาสนับสนุนการถือทองคำมากกว่าเนื่องจากเค้ามีความเห็นว่ามันเสี่ยงน้อยกว่าแต่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ซึ่งหากหันกลับไปมองถึงเหล่าหลักทรัพย์และตราสารการลงทุนต่างๆจะพบว่ามันเป็นไปในทางตรงกันข้ามมากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้นาย Travis Kling ซึ่งเป็นผู้คร่ำหวอดในวงการ Wall Street ได้ออกมากล่าวถึง Bitcoin ว่าขณะนี้มันเป็นช่วงเวลาขาขึ้นอย่างบ้าคลั่งสำหรับสิ่งทรงมูลค่าซึ่งไม่ผูกพันกับประเทศใด มีอุปทานที่จำกัด มีความเป็นสากลและมีความปลอดภัยอย่างสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งปราศจากการควบคุมโดยส่วนกลางนั่นเอง
เมื่อจะกล่าวในรายละเอียดแล้ว Bitcoin นั้นไม่อาจจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนมือของทรัพย์สินซึ่งอาศัยอำนาจภายนอก หรือผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อซึ่งซ่อนอยู่ อีกทั้งยังไม่มีองค์กรคอยชักใยอยู่เบื้องหลังอีกด้วย ซึ่งหากเกิดเหตุการที่ตลาดเงินนั้นล้มลงเมื่อใด ตลาดสกุลเงินคริปโตเหล่านี้แหล่ะที่จะเป็นที่มั่นต่อไปสำหรับเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตามมนาย Dalio นั้นไม่ใช่ผู้สนับสนุน Bitcoin หรือสกุลเงินคริปโตอื่นๆเสียทีเดียว ซึ่งในช่วงปีก่อนนั้นเค้ายังได้ออกกล่าวถึงมันว่าสกุลเงินคริปโตทั้งหลายนั้นมันก็เป็นแค่ฟองสบู่เปล่าๆเท่านั้น ซึ่งมีแค่การเก็งกำไรที่คอยขับให้มันเติบโต ซึ่งในความเป็นจริงแล้วอาจไม่เหมาะกับการนำมาใช้
ท้ายที่สุดนี้ทางผู้เขียนมีความเห็นตามสิ่งที่บุคคลทั้งสองกล่าว ซึ่งเราก็น่าจะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเงินนั้นอยู่อีกไม่ไกลแล้ว ทั้งนี้นาย Dalio ได้ออกมากล่าวถึงเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกรณีนี้ในอดีตไว้ว่า
“มันมีหลายสิ่งที่คล้ายกันในสองช่วงเวลา คือในปัจจุบันและในช่วงยุค 30s ซึ่งเราต่างมีปัญหาด้านหนี้ล้นตลาดและอัตราดอกเบี้ยนั้นต่ำถึง 0% ซึ่งรัฐบาลได้ทำการพิมพ์เงินเพิ่มและอาศัยการนำเงินนั้นเข้าซื้อหลักทรัพย์ทั้งหลายส่งให้ราคานั้นสูงขึ้นเรื่อยนั่นเอง”
ที่มา : Newsbtc
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น