<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เครื่องขุดเหรียญ Ethereum รุ่นใหม่ล่าสุดที่มีกำลังขุดอย่างมหาศาลเตรียมเปิดตัวแล้ว

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

หลังจากมีการล่าช้ามากว่า 9 เดือนและใช้เงินลงทุนไปกว่า 3.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บริษัทสตาร์ทอัพก็กำลังจะปล่อยตัวเครื่องขุดใหม่สำหรับขุด Ethereum และ Ethereum Classic แล้ว

บริษัท Linzhi ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเซินเจิ้นประเทศจีนกล่าวเมื่อวันพุธว่าได้สั่งซื้อเวเฟอร์ 37 ชิ้นจาก บริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ทำให้นักขุด ASIC สามารถทำการขุดได้

โดยตัวทดลองจะเปิดออกมาทดสอบว่าเครื่องขุดสามารถทำการขุดได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่เมื่อมันถูกออกแบบมาให้ใช้ Ethash ซึ่งเป็นอัลกอริทึมแบบ proof-of-work ที่ใช้กับ Ethereum และ Ethereum Classic

ถ้าหากการทดลองนี้นั้นประสบความสำเร็จทาง Linzhi ก็จะสร้างผลิตภัณฑ์ออกมาชุดใหญ่แข่งกับบริษัทชิปใหญ่ ๆ อย่าง NIVIDA, Bitmain และ InnoSilicon ที่เป็นผู้สร้างเครื่องขุด ASIC สำหรับอัลกอริทึม Ethash

โดยเฉลี่ยแล้วเหรียญ ETH จะถูกขุดประมาณ 5 ล้านเหรียญต่อปี ณ ราคาปัจจุบันมันมีมูลค่ามากกว่า 800 ล้านดอลลาร์ ส่วนเหรียญ Ethereum Classic ที่มีการ Hard Fork ออกมาจาก Ethereum ก็ถูกขุดประมาณ 9 ล้านเหรียญต่อปี มีมูลค่ากว่า 60 ล้านเหรียญ

ชิปที่ทรงพลัง

บริษัท Linzhi ถูกก่อตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2018 โดย Chen Min อดีตนักออกแบบชิปของ Canaan Creative ที่เป็นผู้สร้างเครื่องขุด Bitcoin ‘Avalon’ ซึ่ง Chen ได้กล่าวว่าเขาได้ก่อตั้งบริษัทโดยใช้เงินส่วนตัวไปกว่า 4 ล้านดอลลาร์

ทางบริษัทได้เผยแผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์มาตั้งแต่เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วซึ่งต้องการที่จะออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อมาฆ่าเครื่องขุดที่มีอยู่ในตอนนี้ทั้งหมด ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้ออกแบบมาเพื่อนักขุด ethash ASIC โดยเฉพาะ และมีพลังแรงขุดสูงถึง 1400 MH/s มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าในระดับกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง

เปรียบเทียบกับการ์ด GTX TitanV 8 ของ NVIDIA ที่เป็นหนึ่งในเครื่องที่ทำกำไรได้มากที่สุดของอัลกอริทึม ethash มีแรงประมวณผล 656 MH/s และมีระดับการใช้พลังงาน 2.1 kWh อ้างอิงจากดัชนี f2pool

อ้างอิงจากราคาปัจจุบันของ ETH ($180) และค่าความยากของเครือข่ายรวมถึงค่าไฟฟ้า 0.04 ดอลลาร์ต่อ kWh เครื่อง GTX TitanV 8 จะทำกำไรที่ 7.35 ดอลลาร์ต่อวัน และหากใช้ GTX TitanV 8 การ์ดเดียวกันในการขุด ETC ซึ่งมีราคาต่ำกว่าและมีค่าความยากในการขุดต่ำกว่า ETH จะทำกำไรต่อวันอยู่ที่ประมาณ 6.70 ดอลลาร์

กำลังประมวลผลทั้งหมดบน Ethereum และ Ethereum Classic อยู่ที่ประมาณ 160 และ 13 TH/s ตามลำดับ

แผน B

นับตั้งแต่มีการประกาศแผนออกมาทาง Linzhi ก็ได้ใช้เงินทุนเริ่มต้นเกือบทั้งหมดไปกับการวิจัยและพัฒนาชิป เพื่อเปิดตัวทดลองออกมา

ก่อนหน้านี้ Linzhi กล่าวว่าต้องการจะสั่งซื้อเวเฟอร์กลุ่มแรกในเดือนธันวาคมเพื่อให้ตัวทดลองพร้อมในเดือนเมษายนและเริ่มการผลิตในเดือนมิถุนายน

แต่มันก็เกิดความล่าช้าซึ่งทางบริษัทกล่าวว่า:

“เราประเมินความซับซ้อนของชิป,เวลาในการสร้างทีมงานและการผลักดันองค์กรให้เคลื่อนต่อไปต่ำเกินไป ก็ทำให้ต้องเลื่อนตารางออกไปใหม่ ซึ่งตัวทดลองนั้นอาจเปิดตัวออกมาในเดือนธันวาคมปีนี้ และในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าก็ค่อยผลิตล็อตใหญ่ออกมา”

อีกความเสี่ยงประการหนึ่งของธุรกิจคือชุมชน Ethereum ได้ลงมติก่อนหน้านี้เพื่อเปิดใช้งานอัลกอริทึม ProgPow และนักพัฒนา Ethereum ก็ต้องการเปลี่ยนจาก proof-of-work มาเป็น proof-of-stake ซึ่งมันก็ทำให้นักขุด proof-of-work ไม่สามารถทำการขุดได้

แล้วทาง Linzhi จะมีแผน B หรือไม่ถ้ามีการเปลี่ยนมาใช้ proof-of-stake ดังกล่าวทางบริษัทก็ได้เปิดเผยว่า:

“แผนของเราคือมุ่งเน้นไปที่ การขุด ETC ส่วนแผนสร้างอัลกอริทึม ProgPow ก็ยังไม่ชัดเจน ดังนั้นทางเราจึงไม่สนใจเรื่องนั้นมากนัก”

Chen กล่าวว่าบริษัทวางแผนที่จะใช้สิ่งที่เรียกว่ากลยุทธ์ “Reverse Discount” เมื่อเริ่มวางจำหน่ายตัวทดลองแล้วนั่นหมายถึงยิ่งคุณซื้อมากเท่าไหร่คุณก็จะยิ่งจ่ายมากขึ้นเท่านั้น เหตุผลก็คือเพื่อไม่ให้มีบุคคลใดบุคคลหนึ่งมีอำนาจในการควบคุมเครือข่ายมากเกินไป

กลยุทธ์การขายของบริษัท

ทางบริษัทยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะขายเครื่องนี้เท่าไร แต่ทางบริษัทก็เผยว่าจะมีกลยุทธ์การขายเมื่อเริ่มให้ pre-order เครื่องที่เป็นตัวทดลองนี้ กลยุทธ์นี้เรียกว่า Reverse Discount ซึ่งหมายถึงยิ่งคุณซื้อมาก คุณก็จะยิ่งจ่ายมาก เหตุผลก็เพราะว่าไม่ต้องการให้บุคคลใด ๆ ซื้อเครื่องมากเกินไปเพื่อมุ่งหวังจะควบคุมเครือข่าย

“มันคือความพยายามในการสนับสนุนแนวคิดการกระจายอำนาจของเรา” Chen ผู้ก่อตั้งบริษัทกล่าว

“ยอดขายของเราจะตกอยู่กับนักพัฒนาและชุมชนก่อนและอาจมีการใช้กลยุทธ malus หรือ Reverse Discount สำหรับคำสั่งซื้อเยอะ ๆ ซึ่งหมายความว่าคำสั่งซื้อขนาดเล็กของบุคคลต่าง ๆ จะคิดราคาน้อยกว่าคำสั่งซื้อเยอะ ๆ ที่จะต้องจ่ายมากขึ้น”

ที่มา : coindesk

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น