<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สาเหตุที่ราคา Bitcoin ถึงพุ่งขึ้นสวนทางตลาดหุ้นทั่วโลก

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

หลายคนคงทราบกันดีในเรื่องคุณสมบัติของ Bitcoin และ ทองคำสำหรับความสามารถในการเก็บรักษามูลค่าเอาไว้ในช่วงที่มีสถานการณ์ความไม่แน่นอนเกิดขึ้น หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสินทรัพย์ปลอดภัย ‘Safe haven’ รวมถึงปัจจัยด้านเทคนิคอื่น ๆ อย่างเช่นเหตุการณ์ Bitcoin Halving ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะส่งผลกระทบต่อราคาของ Bitcoin อย่างมีนัยสำคัญ

สินทรัพย์ที่สามารถเก็บรักษามูลค่าได้

นักลงทุนมองว่าบิตคอยน์ว่าอาจเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่มีความปลอดภัยมากกว่า ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนเช่น ช่วงที่มีเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วหรือสงครามการเมืองระหว่างอิหร่านและอเมริกา หรือเหตุการณ์อื่นที่ทุกคนมีความกังวลว่ามันจะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก

โดยรายงานล่าสุดระบุว่า จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคปอดอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในจีน เพิ่มขึ้นเป็น 213 ราย ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสดังกล่าวอยู่ที่  9,692 ราย ซึ่งความกังวลเหล่านี้ มันทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลในเรื่องของเศรษฐกิจและส่งผลให้พวกเขาโยกย้ายเงินทุนมาเก็บไว้ใน Bitcoin สินทรัพย์ที่พวกเขาเชื่อว่ามันจะสามารถให้ผลตอบแทนและเก็บรักษามูลค่าในช่วงที่เกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ได้

ราคา Bitcoin พุ่งขึ้นสวนทางกับตลาดหุ้นทั่วโลก

ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาบริษัทที่ทำวิจัยเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลทำได้เผยให้เห็นว่าราคาทองคำและ Bitcoin นั้นมีเริ่มการเคลื่อนไหวในลักษณะที่ตรงกันข้ามกับหุ้น SPDR , S&P 500 , ETF , Trust , SPY ซึ่งเป็นกองทุนการซื้อขายหุ้นที่ได้รับความนิยมเทียบเท่ากับ bitcoin นอกจากนี้รายงานยังได้เผยให้เห็นด้วยว่าในขณะที่หุ้น S&P 500 ร่วงลดลงสินทรัพย์ bitcoin และทองคำกลับมีมูลค่าที่พุ่งสูงขึ้น

โดยข้อมูลล่าสุดจากนาย Mati Greenspan ผู้ก่อตั้ง Quantum Economics ออกมากล่าวถึงความสัมพันธ์ของ Bitcoin กับทองคำและหุ้นได้ขึ้น ๆ ลง ๆ มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า Bitcoin กำลังทำตัวเป็นเหมือนกับสินทรัพย์ที่เก็บรักษามูลค่าไว้และมักถูกนำมาใช้เป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยในช่วงที่มีสถานการณ์ความไม่แน่นอนเกิดขึ้นนั่นเอง

จากกราฟในทวีตเตอร์เราจะเห็นได้ว่าหลังจากวอลุ่มการซื้อขายได้หลั่งไหลออกไปจากตลาด Bitcoin แล้ว นักเทรดก็ยังคงเก็งกำไรกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นการเก็งกำไรในช่วงสั้น ๆ 

แต่อย่างไรก็ตาม Bitcoin เริ่มมีวอลุ่มซื้อขายกลับเข้ามาอีกครั้งในช่วงเดือนกรกฎาคม 2019 เนื่องจากผู้คนเริ่มเห็นว่ามันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว โดยราคา Bitcoin ที่พุ่งสูงขึ้นมานี้ได้ผลกระทบจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีน ในช่วงสงครามการค้านั่นเอง

แน่นอนว่าในขณะที่ราคาหุ้นทั่วโลกร่วงลดลง เงินทุนมากมายก็ได้เริ่มโยกย้ายเข้าสู่ตลาดคริปโตเคอเรนซี่และส่งผลให้ราคาของ Bitcoin พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ในตรงกันข้ามมูลค่า Bitcoin ก็ดูเหมือนว่าจะร่วงลดลง หลังจากที่ตลาดหุ้นฟื้นตัวและช่วงที่มีเศรษฐกิจดีขึ้น

เนื่องจากหลายคนยังคงมองว่า Bitcoin นั้นเป็นหลักทรัพย์ที่ยังไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้นมันจึงยังไม่มีความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนมากพอ ในขณะที่พวกเขามีทางเลือกอื่น ๆ เช่น ตลาดหลักทรัพย์แบบดั้งเดิม

อย่างไรก็ตามตอนนี้หลายประเทศกำลังให้ความสนใจไปกับการออกกฎระเบียบเกี่ยวกับคริปโตเคอเรนซี่เพิ่มขึ้นแล้ว ซึ่งในอนาคตสิ่งเหล่านี้จะทำให้ผลักดันให้ราคา Bitcoin และเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ตัวอื่น ๆ พุ่งสูงขึ้นอย่างแน่นอน

ตัวอัพเดตใหม่ของ Bitcoin 

ในช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาวีดีโอตัวหนึ่งที่ถูกโพสต์ในช่องยูทูปของ Invan on Tech ได้ชีัให้เห็นถึงการพูดคุยของนาย Ivan ที่กล่าวว่าจะมีตัวอัพเดตใหม่ของ Bitcoin ทั้งหมดสองตัวที่จะมีออกมาในปี 2020 นี้ ซึ่งหลายคนคาดหวังว่ามันจะส่งผลดีต่อราคาของ Bitcoin 

การอัพเดตดังกล่าวนั้นจะเข้ามาช่วยในเรื่องของความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งได้แก่ตัวอัพเดตที่มีชื่อว่า ‘Schnorr Signatures’ และ ‘Taproot’ 

โดย Schnorr Signatures จะเข้ามาช่วยเพิ่มความสามารถในการ scaling ของ Bitcoin โดยมันจะสามารถช่วยลดขนาดของข้อมูลที่ถูกเก็บอยู่บน block ด้วยวิธีการลดขนาดของ UTXO ลง (ธุรกรรมที่อยู่บนเครือข่ายที่ยังไม่ถูกจ่ายหรือโอนออกไป) 

ส่วนตัวอัพเดทของ Taproot นั้นจะมาช่วยเสริมความแข็งแกร่งของ Bitcoin ให้มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นและไม่ถูกแฮกได้ง่าย ๆ ส่งผลทำให้มิจฉาชีพที่ต้องการจะขโมยเหรียญของผู้ใช้งานผ่านการทำการโจมตีแบบ dusting นั้นทำได้ยากมากขึ้นนั่นเอง

ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้ว่าการพัฒนาระบบของ Bitcoin นั้นจะส่งผลดีต่อราคาในเชิงบวก เนื่องจากการพัฒนาที่ดีขึ้นและระบบเติบโตที่มากขึ้นนั้นจะดึงดูดให้มีผู้คนเข้ามาลงทุนใน Bitcoin มากขึ้นนั่นเอง 

Bitcoin Halving

Bitcoin halving คือ การที่ระบบของ Bitcoin จะทำการลดจำนวนเหรียญที่เกิดใหม่ของ Bitcoin ต่อ 1 บล็อกต่อ 10 นาทีลงครึ่งหนึ่ง ในทุก ๆ 4 ปี เช่นปี 2008-2009 เกิดใหม่ที่ 50 BTC, จากนั้นปี 2012 ลดลงเหลือ 25 BTC และปี 2016 ลดลงเหลือ 12.5 BTC จนมาถึงในขณะนี้ จะเป็นการลดลงเหลือ 6.25 BTC

เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่หลายคนเชื่อว่ามันจะส่งผลให้ราคา Bitcoin พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง โดยเราจะสามารถสังเกตได้ว่าทุกครั้งที่มีการ halving เกิดขึ้น ราคาของ Bitcoin ก็จะเพิ่มขึ้นโดยทำจุดสูงสุดใหม่เรื่อย ๆ โดยเมื่อช่วงปลายปี 2017 ที่ผ่านมา ราคาของมันก็เคยแตะจุดสูงสุดไปที่ 20,000 ดอลลาร์แล้ว และหากพิจารณาจากกราฟด้านบนนั้น เราอาจจะได้เห็นราคาที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 100,000-1,000,000 ดอลลาร์เลยก็เป็นได้

จากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่าสาเหตุที่ทำให้ราคาบิทคอยพุ่งสวนตลาดหุ้น ก็เพราะว่าในช่วงที่มีสถานการณ์ความไม่แน่นอนเกิดขึ้น ผู้คนมักมองว่า Bitcoin นั้นมีความปลอดภัยในการเก็บมูลค่ามากกว่า อีกทั้งยังมีเรื่องของตัวอัพเดตใหม่ของ Bitcoin และการ Halving ที่คนมักจะคาดหวังว่ามันจะผลักดันราคาเพิ่มขึ้นอย่างที่มันเคยทำมาในอดีต ซึ่งนั่นทำให้เม็ดเงินหลั่งไหลเข้ามาในตลาด Bitcoin และส่งผลให้ราคา Bitcoin พุ่งสูงขึ้นนั่นเอง

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น