<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

แพลทฟอร์ม Zilliqa ดีกว่า Ethereum หรือไม่? เมื่อมันเด่นด้านความเป็น Centralized, การ Scaling และความเป็นส่วนตัว

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

อนาคตของ Zilliqa นั้นจะดูดีกว่าหรือแย่กว่านั่นมักจะถูกกำหนดโดยเส้นทางของ Ethereum เสมอ แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบัน Zilliqa นั่นพบวิธีแก้ไขปัญหาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของเครือข่ายบล็อกเชนหมายเลขสองแล้ว

Zilliqa ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม smart contract ได้เดินตามหลัง Ethereum ในทุก ๆ ฝีก้าว นับตั้งแต่ที่โปรเจค CryptoKitties ได้หยุดนิ่งลงในปี 2017 แต่ตอนนี้คำถามก็คือ DeFi ของ Zilliqa จะทำให้พวกเขากลับมาแซง Ethereum ได้หรือไม่ ?

Zilliqa Scales Ethereum

กว่าสามปีแล้วที่เครือข่าย blockchain มากมายต่างวิ่งเข้าไปในคอขวดที่ไม่ได้สามารถปรับขนาดได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าการยืนยันการทำธุรกรรมจะใช้เวลานานและมีค่าธุรกรรมแพง เช่นเดียวกับ Etheruem ที่ไม่ได้รับข้อยกเว้นจากปัญหาเหล่านั้น

ในขณะที่ Bitcoin สามารถทำได้เพียงโอนมูลค่าสินทรัพย์ไปมาระหว่างบัญชีผู้ใช้ ขณะเดียวนักพัฒนาก็สามารถสร้างเกมทั้งหมดขึ้นบนเครือข่ายของ Ethereum ยกตัวอย่างเช่น CryptoKitties และ Ethermon (เกมที่เหมือนโปเกมอน)

ทั้งสองเกมนี้ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน แต่อย่างไรก็ตามปัญหาของเกม Ethermon นั้นยุ่งยากมากเกินไป นักพัฒนาจึงย้ายเซิฟเวอร์เกมไปเป็นแบบ centralized ชั่วคราว แต่ขณะเดียวกัน item ที่เก็บสะสมในเกมก็จะยังคงถูกเก็บไว้ในเครือข่าย Ethereum เช่นเดิม

ไม่นานหลังจากการย้ายเซิฟเวอร์ในครั้งนี้ ทีมนักพัฒนาก็ได้ประกาศว่าพวกเขาจะทำงานร่วมกับ Zilliqa blockchain โดยพวกเขาได้ประกาศในเดือนกรกฎาคม 2018 ว่า :

“ปริมาณงานที่เพิ่มสูงขึ้นและค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่ค่อนข้างถูกของโซลูชั่น Zilliqa’s sharding นั่นทำให้ผู้เล่นได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น”

ความตื่นเต้นของ Ethermon ได้ตายลงนับแต่นั้น โดยขณะที่เขียนรายงานอยู่นี้ Ethermon มีการทำธุรกรรมในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาอยู่ที่ 22.17 Eth หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ $469 เท่านั้น

ค่า Ethermon และจำนวนผู้ใช้

ระบบรวมศูนย์อำนาจของ Zilliqa จะดีกว่าระบบกระจายอำนาจ ของ Ethereum หรือไม่ ?

นาย Amrit Kumar ประธานและหัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ของ Zilliqa ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อข่าว Crypto Briefing ว่าวิสัยทัศน์ในการกระจายอำนาจของ Ethereum นั้น “บริสุทธิ์และมีอุดมการณ์มากเกินไป”

“คุณไม่สามารถกระจายอำนาจได้อย่างแท้จริง” นาย Kumar กล่าว “แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า [ระบบกระจายอำนาจ] นั้นไม่ดี แต่เราจำเป็นต้องเชื่อมต่อช่องว่างด้วยการเงินแบบดั้งเดิม”

แต่ตอนนี้คำถามก็คือ ทีมนักพัฒนาของ Zilliqa จะนำ DeFi ของเหรียญ stablecoin เข้าไปสู่เว็ปกระจายอำนาจ (DEX) ได้อย่างไร ? ซึ่งในขณะนี้นาย Kumar ต้องการนำระบบการรวมศูนย์อำนาจมาใช้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพื่อนำไปสู่การทดสอบบัญชีแยกประเภท โดยเขากล่าวว่า “เราจำเป็นต้องมีการผสมผสาน แต่ไม่ใช่กิจกรรมทั้งหมดจะเกิดขึ้นบนบล็อกเชน” 

เนื่องจากโปรเจคนี้ตั้งอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การแตกตัวของระบบ DeFi จึงอาจส่งผลกระทบต่อโลกแห่งความเป็นจริง

อ้างอิงจากรายงานของสื่อข่าว The Business Times ที่เผยว่าภูมิภาคดังกล่าวเป็นทั้งตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดและก็มีข้อจำกัดทางด้านการเงินมากที่สุดเช่นกัน

ดังนั้นธุรกิจที่ดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้จึงตกอยู่ในความเสี่ยง ซึ่งพวกเขาเพียงแค่ต้องทำให้แน่ใจก่อนว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะเห็นด้วยกับพวกเขา

การเป็นพาร์ทเนอร์กับ Xfers ที่ได้รับสนับสนุนโดย Y Combinator ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการชำระเงินแบบ peer-to-peer นั่นจะทำให้ Zilliqa มองเห็นการแก้ไขด้านกฎระเบียบรวมถึงการสร้าง Block อื่น ๆ สำหรับ DeFi ได้ดียิ่งขึ้น

ในเดือนมกราคม 2019 Xfers ได้รับการอนุมัติจากธนาคารกลางของสิงคโปร์ (MAS) ซึ่งการอนุมัติครั้งนี้จะเป็นการวางรากฐานที่สำคัญให้กับ Xfers และจะเปลี่ยนให้กระเป๋าเงิน wallet ของ Xfers กลายเป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่มีการกำกับดูแลจากธนาคารกลาง “การอนุมัติในครั้งนี้จะช่วยให้เราเข้าถึงธนาคาร , สถาบันและสมาชิกคนอื่น ๆ ของระบบนิเวศทางการเงินได้อย่างเต็มที่” นาย Kumar กล่าว “ซึ่งเป้าหมายต่อไปก็คือการแนะนำให้พวกเขาใช้เงินเหรียญ Stable coin”

จากรายงานข้างต้น สรุปได้ว่า Zilliqa นั้นกำลังตามหลัง Ethereum มาติด ๆ ซึ่งไม่เพียงแต่พวกเขาจะมีการปรับปรุงข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ จาก blockchain หมายเลขสองเท่านั้น แต่พวกเขายังได้แก้ไขปัญหาคอขวดของเครือข่ายไปจนถึง stablecoin และเรื่องความเป็นส่วนตัว ซึ่งตอนนี้นาย Kumar และทีมของเขากำลังทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากแฟน ๆ ของ Ethereum

ที่มา : cryptobriefing

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น