<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Binance ขึ้นอันดับ 1 บน Coinmarketcap ได้ไม่นานหลังเข้าซื้อบริษัทไป เจ้าตัวปฏิเสธไม่เกี่ยวกัน

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในช่วงเมื่อวานนี้ เว็ปรวบรวมข้อมูลด้านคริปโตระดับโลก CoinMarketCap ได้มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดอันดับเว็ปเทรดคริปโตของพวกเขาใหม่ โดยใช้การชี้วัดจากปริมาณการเข้าเยี่ยมชมเว็ปไซต์ (web traffic) ซึ่งตัวชี้วัดใหม่นี้ได้จัดตำแหน่งให้เว็ปเทรด Binance อยู่ในอันดับหนึ่ง

สิ่งนี้ดูเหมือนจะตรงกันข้ามกับคำพูดของนาง Carylyne Chan ซึ่งเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และ CEO ของ CoinMarketCap ผู้ซึ่งกล่าวในการสัมภาษณ์ postcast เมื่อช่วงปลายปีที่แล้วว่า ‘ปริมาณการเข้าใช้งานเว็ปไซต์นั้นไม่ได้เป็นตัวชี้วัดที่ดี’

หลังจาก 6 สัปดาห์ที่ Binance เข้าซื้อกิจการของ CoinMarketCap ด้วยเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ วิธีการจัดอันดับเว็ปเทรดใหม่ก็ได้ให้ความสำคัญไปกับปริมาณการเข้าใช้งานเว็บมากกว่าที่จะประเมินจาก “ตัวชี้วัดสภาพคล่อง” ซึ่งเปิดได้ตัวไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2019 และกลายมาเป็นตัวชี้วัดหลักของ CMC มานับแต่นั้น

อย่างไรก็ตามหากเราทำการจัดอันดับโดยใช้ตัวชี้วัดจากสภาพคล่อง เราจะพบว่าเว็ปเทรด Binance นั้นอยู่ในอันดับสี่ ซึ่งอยู่ถัดมาจากเว็ปเทรด Bitfinex, Coinbase Pro และ Huobi Global ตามลำดับ

ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดที่ดี

ในตอน podcast หัวข้อว่า ‘Blockchain Journeys’ ที่ถูกบันทึกไว้ในการประชุมใหญ่ที่สิงคโปร์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2019 นาง Chan CEO ของ CMC ได้มีการนำเสนอตัวชี้วัดจากสภาพคล่องและเมื่อเธอถูกถามเกี่ยวกับตัวชี้วัดจากปริมาณการเข้าใช้งานเว็ปไซต์ เธอกล่าวว่า :

“เราเคยเห็นคนอื่นทำในสิ่งที่คุณพูดเกี่ยวกับปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ว่าเป็นวิธีตรวจสอบเว็ปเทรดที่ถูกต้อง แต่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะเทรดโดยใช้คีย์ API ดังนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุที่ web traffic นั่นไม่ใช่ตัวชี้วัดที่ดี”

แต่โพสต์บล็อกของ CoinMarketCap ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคมนั่นฟังดูขัดแย้งกันกับคำพูดของ CEO ของบริษัทอย่างมาก :

คริปโตเคอเรนซี่ถูกขับเคลื่อนด้วยการซื้อขายในตลาดรายย่อย สำหรับเว็ปเทรดที่ต้องการมีวอลุ่มการซื้อขายที่สูงขึ้น พวกเขาจำเป็นต้องมีนักเทรดรายย่อยอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นแทนที่จะขอข้อมูลหมายเลขผู้ใช้งานจากเว็ปเทรด เราจะใช้พร็อกซีตัวกลางเพื่อชี้วัดปริมาณการเข้าชมจากเว็ปเทรดและออกแบบเครื่องมือ Web Traffic Factor สำหรับการทำกระบวนการนี้ซ้ำ ๆ”

ปัจจัยสำหรับการเข้าชมเว็บไซต์นี้เป็นคะแนนรวมที่มาจากข้อมูลที่แตกต่างกัน ซึ่งจะประกอบไปด้วย : “จำนวนหน้าเว็ปที่มีการเปิด , จำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมที่ไม่ซ้ำกัน , เปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าเยี่ยมชมเว็ปไซต์และออกไป , เวลาที่อยู่บนหน้าเว็ปโดยเฉลี่ย , อันดับความสัมพันธ์ , การค้นหาคีย์เวิร์ดในเครื่องมือ search engine” ซึ่งสิ่งนี้อาจตอบโจทย์ข้อกังวลสำหรับคำพูดของ Chan ก่อนหน้านี้

หลังจากรายงานนี้ได้ถูกเผยแพร่ออกไป Chan ก็ได้ออกมาโพสต์บน Twitter ของเธอว่า “ถ้าคุณอ่านโพสต์ของเราแบบสมบูรณ์ คุณจะรู้ว่าปริมาณการเข้าเยี่ยมชมเว็ปไซต์นั่นเป็นเพียงส่วนเดียวในหลาย ๆ ปัจจัยที่จะสร้างอัลกอริทึมตัวใหม่นี้ขึ้นมา”

เว็ปเทรดอันดับหนึ่งคือผู้ที่สร้างกฎ

ในบล็อกโพสต์กล่าวต่อไปว่า มันจะแสดงผลการจัดอันดับเว็ปเทรดจากการเรียงลำดับตามตัวชี้วัดใหม่ และ Web Traffic Factor อยู่เพียงหน้าเดียวเท่านั้น (แทนที่จะเป็นหลายหน้า) ในขณะที่ตัวชี้วัดอื่น ๆ เช่น คะแนนสภาพคล่อง , วอลุ่ม , ตลาดจะอยู่ในคอลัมน์ถัดไป”

อย่างไรก็ตามในโพสต์ไม่ได้ให้คำอธิบายว่าทำไม CMC จึงให้ความสำคัญกับปริมาณการใช้งานเว็ปไซต์มากกว่าตัวชี้วัดสภาพคล่อง แต่ในเดือนพฤศจิกายน 2019 CMC เคยกล่าวไว้ว่าตัวชี้วัดสภาพคล่องนั้น “ถูกออกแบบมาเพื่อเข้าแทนที่ตัวชี้วัดวอลุ่มการซื้อขายแบบเดิม โดยการจัดอันดับจากการจับคู่ของตลาดและเว็ปเทรด”

เว็ปเทรดที่ติด 10 อันดับแรก

ในช่วงระหว่างการให้สัมภาษณ์บน podcast เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง Chan ยังคงปฏิเสธวิธีการอื่น ๆ เพื่อใช้ในการตรวจสอบความซับซ้อนของคำสั่งซื้อขาย พร้อมกับรายการเว็ปเทรดสิบอันดับแรกที่ถูกจัดขึ้นโดย Bitwise ที่มี “วอลุ่มซื้อขายที่แท้จริง” ซึ่งเว็ปเทรด Binance นั่นเป็นอันดับหนึ่ง

“เมื่อคุณพูดถึงรายงานของ Bitwise ดังนั้นสิ่งที่คุณเลือกก็คือ เว็ปเทรดสิบอันดับที่พวกเขาคิดว่ามีชื่อเสียงและพวกเขายืนยันว่าดี แต่จริง ๆ แล้วเราคิดว่าเว็บเทรดบางส่วนที่เลือกมานั้นมันอาจจะมี wash trading และดูเหมือนว่ามันจะยังไม่ใช่ข้อมูลที่ครอบคลุม

นอกจากนี้ ฉันยังมองว่าข้อมูลเหล่านี้มันค่อนข้างเป็น “อัตวิสัย” เราก็พยายามหาโซลูชั่นเพื่อที่ทำให้การคำนวณข้อมูลไม่ผิดพลาด”

CMC และ CZ ยอมรับว่าข้อมูลอาจไม่ถูกต้อง

ในบล็อกโพสต์ที่มีการประกาศล่าสุด CMC ได้ออกมายอมรับข้อจำกัดของตัวชี้วัดใหม่ที่จัดอันดับให้เว็ปเทรด Binance อยู่ในตำแหน่งอันดับหนึ่ง :

“เราทราบว่าปริมาณการเข้าชมเว็ปไซต์นั่นจะไม่แสดงภาพโดยรวมที่ชัดเจน เนื่องจากการใช้คีย์ API ในการเทรด ซึ่งตัวชี้วัดนี้จะเป็นขั้นตอนในช่วงระยะกลางที่ใช้ในกระบวนการวนซ้ำ ตามข้อมูลที่ระบุไว้ข้างต้น”

นาย Changpeng Zhao CEO ของ Binance ยอมรับใน Twitter ว่าตัวชี้วัดนี้อาจจะ “ไม่ถูกต้อง 100%”

CMC เป็นอิสระอย่างแท้จริง

ในช่วงต้นเดือนเมษายน Binance ได้เข้าซื้อกิจการของ CMC เป็นมูลค่าประมาณ 400 ล้านดอลลาร์ (ยังเป็นตัวเลขที่ไม่ชัดเจน) และขณะเดียวกันบริษัทก็ได้อธิบายถึงรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่เกิดอาจจากเว็ปเทรด ซึ่งเป็นผลมาจากการเป็นเจ้าของคนเดียวกันว่า  :

“CoinMarketCap จะยังคงดำเนินต่อไปในฐานะองค์กรธุรกิจอิสระ ในขณะที่เว็ปเทรดคริปโตของ Binance และ BNB โทเค็นดั้งเดิมที่ได้ถูกลิสอยู่ใน CoinMarketCap , CoinMarketCap และ Binance จะเป็นหน่วยงานที่แยกออกจากกัน ดังนั้น Binance จะไม่มีผลต่อการจัดอันดับของ CoinMarketCap ในขณะที่ CoinMarketCap ก็จะไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานของ Binance เช่นเดียวกัน”

ที่มา : cointelegraph