ปัจจุบันค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมเหรียญ Ethereum โดยเฉลี่ยนั้นอยู่ที่ประมาณ 233 บาท ซึ่งสูงกว่าของ Bitcoin ถึงสามเท่า และการติดตั้งกระเป๋าใหม่บน MakerDAO นั้นจะใช้ต้นทุนที่สูงถึง 1,240 บาท ในขณะที่ค่าธรรมเนียมในการปล่อยกู้บน Compound นั้นอยู่ที่ 320 บาท ซึ่งดูเหมือนว่าค่าธรรมเนียมที่แพงหูฉี่นี้จะไม่เป็นผลดีต่อผู้ใช้งานเท่าไรนัก
เมื่อมีแพลทฟอร์ม yield farming บน DeFi ที่ถูกเปิดตัวขึ้นมาใหม่เรื่อย ๆ ส่งผลทำให้วงการดังกล่าวนั้นแผ่ขยายไปไกลมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่ตามมาเป็นเงาตามตัวแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยนั้นก็คือค่าธรรมเนียมที่สูง และการติดขัดบนเครือข่าย
ปัจจุบันผู้ใช้งานบน DeFi กำลังรอคอยการเปิดตัวของ ETH 2.0 ที่นักพัฒนาเคยออกมาให้สัญญาว่ามันจะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ แต่นั่นอาจจะไม่เพียงพอกับผู้ใช้งานคริปโตบางราย
ความเห็นเกี่ยวกับ ETH 2.0 ของนักวิเคราะห์
จำนวน address บน DeFi นั้นกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มขึ้นสูงมาเพิ่มถึง 350,000 address ตั้งแต่ต้นปี แม้ว่าแพลทฟอร์มบน DeFi อย่าง Uniswap จะมีโวลุมการซื้อขายที่แซงหน้าของ coinbase ไปแล้ว แต่ผู้ใช้งานนั้นก็ยังน้อยมาก ๆ หากเทียบกับของ Coinbase ที่มีอยู่ที่ 32 ล้านคน
สมมติว่าค่าธรรมเนียมบนเครือข่าย Ethereum นั้นได้พุ่งขึ้นไปแตะจุดสูงสุดแล้ว นี่จะถือเป็นเวลาที่ดีในการคาดการณ์ว่า Ethereum 2.0 จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาด้านค่าธรรมเนียมที่แพงนี้ได้อย่างไร
Ethereum 2.0 นั้นจะถูกตั้งค่าเริ่มต้นให้มีถึง 64 shard และในแต่ละ shard นั้นมันจะสามารถทำงานเหมือนเป็น blockchain แยกออกไปโดยจะเก็บประวัติการทำธุรกรรมของมันเอาไว้ โดยภายใต้เหตุการณ์ดังกล่าวนั้น จะทำให้เครือข่ายสามารถรองรับการทำธุรกรรมได้มากถึง 64 เท่าเลยทีเดียว
นาย Alex Kruger ได้ออกมาประมาณตัวเลข โดยคาดการณ์ว่าผู้ใช้งานเหรียญ DeFi แต่ละคนมี address ทั้งหมด 4 address ด้วยกัน หากคิดจากค่าดังกล่าวนั้น นั่นหมายความว่าจะมีผู้ใช้งานแบบไม่ซ้ำหน้ากันทั้งหมด 114,000 คนเลยทีเดียว โดยการคาดการณ์ดังกล่าวนั้นอยู่ภายใต้แนวคิดที่ว่าผู้ใช้งาน DeFi แต่ละคนนั้นมี address เพียงแค่ 2 address เท่านั้น ซึ่งจะทำให้ตัวเลขกลายเป็น 220,000 ผู้ใช้งาน และด้วยการที่มันมี 64 shard นั่นหมายความว่ามันจะมีผู้ใช้งานถึง 14 ล้านคน แต่นั่นก็ยังน้อยกว่าของ Coinbase อยู่ดี
นอกจากนี้ งานวิเคราะห์ของนาย Alex นั้นดูเหมือนจะชี้ว่ามันไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาด้านการติดขัดของเครือข่ายอีกด้วย
ประสิทธิภาพของ Layer ที่ 2 บน Ethereum
การแก้ปัญหาดังกล่าวนั้นจำเป็นที่จะต้องมี แอพที่ทำงานอยู่บน layer ที่ 2 เข้ามาช่วย โดยนาย Vitalik Buterin หรือผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum เคยได้ออกมาสนับสนุนให้มีการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการขยายเครือข่าย อย่างเช่น Zk-sync, OMG, และ Loopring โดยนาย Vitalik ได้คาดการณ์ว่ามันมีศักยภาพในการขยายการรองรับการทำธุรกรรมจาก 12-15 ธุรกรรมต่อวินาทให้กลายเป็น มากกว่า 2,500 ธุรกรรมต่อวินาทีเลยทีเดียว
ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมที่สูงนั้นกำลังส่งผลกระทบต่อเว็บเทรดคริปโตในแง่ของการทำกำไร และนั่นทำให้พวกเขาต้องเพิ่มค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม ETH มากขึ้น และผลักดันให้ทางผู้ใช้งานต้องหาทางเลือกอื่น ๆ ในการเคลื่อนย้ายเหรียญคริปโตของพวกเขา
เมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา อัตราการทำธุรกรรมบนเครือข่าย Ethereum ได้พุ่งทำจุดสูงสุดใหม่ในประวัติศาสตร์ที่ 1.34 ล้านเป็นครั้งแรก หากนับตั้งแต่จุดสูงสุดของปี 2018 นอกจากนี้ในช่วงฟองสบู่ของปี 2017 ที่ผ่านมา การทำธุรกรรมแบบไร้ value อย่างเช่น smart contract ที่อยู่บน Ethereum นั้นคิดเป็นน้อยกว่า 2% ของธุรกรรมทั้งหมดบนเครือข่าย ที่เพิ่มขึ้นเป็น 50% จากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ด้วยความที่ระบบ 2nd layer นั้นถูกนำมาเสนอเพื่อให้ใช้ในการโอนเหรียญแบบง่าย ๆ ดังนั้นผลกระทบต่อค่าธรรมเนียมโดยรวมนั้นจึงน้อยมาก ๆ ดังนั้นทางทีมนักพัฒนา Ethereum จึงควรที่จะคิดถึงวิธีการในการขยายเครือข่ายที่มีที่มาจาก DeFi
ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า ETH 2.0 นั้นจะมาเมื่อไร และจะถูกเลื่อนอีกหรือไม่ และมันจะคุ้มค่าต่อการรอคอยหรือไม่ นี่ยังเป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบใด