<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามที่จะแบน Bitcoin

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

นาย Raoul Pal ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทด้านการเงินและธุรกิจชื่อดัง Real Vision และเป็นผู้ที่ให้การสนับสนุน Bitcoin หลัก ๆ ของวงการคริปโตได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯนั้นพยายามที่จะแบน Bitcoin

โดยอ้างอิงจากการให้สัมภาษณ์ของเขากับ Bankless นั้น นาย Pal กล่าวว่าเขาเชื่อว่าความพยายามในการแบน Bitcoin นั้นถือเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์อย่างมาก

ในอดีตมีความพยายามจากนาย Franklin Delano Roosevelt (FDR) ในการแบนไม่ให้มีการแห่สะสมเหรียญทอง, ทองคำแท่ง และใบรับรองทองคำเมื่อปี 1933 แต่ภายหลังความพยายามดังกล่าวก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เนื่องจากว่าผู้คนนั้นก็พยายามที่จะหาทองคำมาครอบครองได้อยู่ดี และแม้ว่าในปัจจุบันจะมีความพยายามในการเปรียบเทียบลักษณะการแบนดังกล่าวกับ Bitcoin ก็ตาม

“เรื่องราวเกี่ยวกับ FDR นี้มีคนพูดถึงบ่อยมาก ตอนนั้นมันมีเพียงแค่รัฐบาลสหรัฐฯที่พยายามแบนมัน และราคาของทองคำก็พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง แต่มันก็ไม่ได้ผล หลังจากนั้นทุก ๆ คนก็ใช้ทองคำกันหมด ดังนั้นนี่คือตัวอย่างที่ผมกำลังจะสื่อ: หากคุณแบนคนกลุ่มหนึ่งไม่ให้ใช้ทองคำ ลองนึกภาพต่อสิ สวิตเซอร์แลนด์ระเบิดไปด้วยผู้คนแห่ไปซื้อทองคำแน่ เพราะว่าประชาชนชาวสหรัฐฯและคนอื่น ๆ จะหันไปใช้บริการของสวิตเซอร์แลนด์กันหมด

แนวคิดดังกล่าวนั้นมักจะผิด ทุก ๆ คนบอกว่า ‘พวกเขาจะแบน Bitcoin ลองดูสิ่งที่พวกเขาทำสิ!’ อันที่จริงพวกเขาทำไม่ได้ในระดับโลก แต่ IMF จะลองทำในระดับโลกไหม? ก็ลองดู แต่บางทีรัสเซียอาจจะมาบอกว่า ‘พวกเราใช้ Bitcoin นะ’”

รัฐบาลทั่วโลกนั้นไม่เพียงแต่จะต้องลำบากในการแบน Bitcoin เท่านั้น แต่นาย Pal กล่าวว่าพวกเขาจะต้องถูกบีบบังคับให้ซื้อเหรียญดังกล่าวเข้าไปในคลัง ท่ามกลางมูลค่าที่ลดลงของสกุลเงินทั่วโลกอีกด้วย

“หากคุณเป็นอาร์เจนติน่าและค่าเงินของคุณก็ลดลงอย่างหาก้นเหวไม่ได้ แต่คุณก็กำลังอยู่ในช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจที่กำลังเฟื่องฟู แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณเริ่มสะสม Bitcoin ในคลังของคุณ มันจะทำให้สกุลเงินของคุณมีค่ามากขึ้นหรือไม่? มันจะทำให้มูลค่าแข็งขึ้นหรือไม่? คำตอบคือใช่…

หากคุณลองติดตามการถกเถียงเกี่ยวกับ Bitcoin ทั่วโลก จะพบว่ามันมักจะลงเอยด้วยการที่ธนาคารแห่กันไปซื้อ แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่มันก็จะเกิดขึ้นแล้วและเราจะเห็นรัฐชาติเล็ก ๆ ทำเช่นนี้ ผมคิดว่าอาจจะภายในห้าปีข้างหน้า และนั่นจะเป็นจุดเล็ก ๆ ที่บอกว่า ‘โอเค มันจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไปที่กำลังจะมาถึง’ เพราะอย่างที่พวกคุณกำลังเห็นอยู่ตอนนี้ ระบบการเงินที่แห่พิมพ์เงินแบบไม่มีวันหมดนี้มันไม่ยั่งยืน”