<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Janet Yellen ผู้หวาดกลัว Bitcoin และ Crypto ถูกตอกกลับโดยอดีตผู้กำกับ CIA

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ก่อนหน้านี้ Janet Yellen รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ ได้ออกมาเตือนเกี่ยวกับ Bitcoin ว่าอาจมีการนำไปใช้ในอาชญากรรม

อย่างไรก็ตาม Michael Morrell ได้ตีพิมพ์บทความอิสระที่ได้รับมอบหมายจาก Crypto Council for Innovation ซึ่งเป็นกลุ่มล็อบบี้ที่ตั้งขึ้นใหม่ โดยได้มีการศึกษาอย่างกว้างขวางและ Morell ได้ข้อสรุปที่สำคัญสองประการได้แก่

  1. ข้อสรุปกว้าง ๆ เกี่ยวกับการใช้ bitcoin ในการเงินที่ผิดกฎหมายนั้นเป็นการพูดเกินจริง
  2. การวิเคราะห์บล็อกเชน เป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับอาชญากรรมและการรวบรวมข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพสูง

แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ในระหว่างการพูดคุยกับ Forbes ก่อนเอกสารจะถูกเผยแพร่ Morell ได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า สิ่งนี้อาจส่งผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างรุนแรงสำหรับสหรัฐฯกับจีน นอกจากนี้สหรัฐอาจสิ้นเปลืองพลังงานและทรัพยากรในการไล่ล่าวายร้าย แทนที่ใช้ประโยชน์จากบล็อกเชนและฟินเทคโดยทั่วไป เพื่อสร้างฐานทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจของประเทศ โดยเขากล่าวเพิ่มเติมว่า “เราต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า ภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ Bitcoin อย่างผิดกฎหมายไม่ได้ฉุดรั้งเราไว้ จากการผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีของประเทศที่จะทำให้เราก้าวทันประเทศจีน”

หลักฐานที่ชัดเจน

ตอนที่เขาเริ่มการศึกษานี้ Morell ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ข้อสรุปเหล่านี้ออกมา ซึ่งเขากล่าวว่า  หนึ่งในสมมติฐานหลักของเขาคือ บุคคลสำคัญอย่าง Janet  Yellen รัฐมนตรีคลังสหรัฐ และ Christine Lagarde ประธานธนาคารกลางยุโรป น่าจะเป็นบุคคลที่มีข้อมูลมากที่สุดในโลก และมุมมองของพวกเขามีพื้นฐานมาจากข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตามในการวิเคราะห์ของเขาเผยว่า “ Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซี่ไม่ได้เต็มไปด้วยกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย  ความเป็นจริงแล้วอาจมีกิจกรรมที่ผิดกฎหมายในระบบนิเวศของ Bitcoin น้อยกว่าที่มีอยู่ในระบบธนาคารแบบดั้งเดิมด้วยซ้ำ”

แล้วเขาค้นพบอะไร? กล่าวโดยสรุปคือ เปอร์เซ็นต์ของการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมายใน คริปโตนั้นน้อยที่สุด ซึ่งรายงานหนึ่งจาก Chainalysis เผยว่าน้อยกว่า 1% ด้วยซ้ำ และลดลง สำหรับบริบทเพิ่มเติม โดยเขาตั้งข้อสังเกตว่า การประมาณการกิจกรรมทางการเงินที่ผิดกฎหมายที่ดำเนินการผ่านคนกลางแบบดั้งเดิมอยู่ระหว่าง 2-4 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ทั่วโลก

การค้นพบนี้อาจไม่ได้ทำให้ผู้อ่านที่ติดตามอุตสาหกรรมนี้มานานรู้สึกประหลาดใจ และเคยได้ยินเรื่องเหล่านี้มาก่อน แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เคยได้รับการโต้กลับโดยตรงเช่นนี้

หากอินเทอร์เน็ตเขียนด้วยหมึก บล็อกเชนจะเขียนด้วยหิน

บางทีสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าสำหรับ Morell คือ วิธีที่บริษัทวิเคราะห์ต่าง ๆ เช่น Chainalysis, CipherTrace และ Elliptic สามารถใช้เครื่องมือทางนิติวิทยาศาสตร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อค้นหาตัวแสดงและกิจกรรมที่ผิดกฎหมายในบล็อกเชนได้ โดยเขาเผยว่า “รู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก กับการที่พวกเขาพบกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ซึ่งนี่เป็นงานข่าวกรองที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว”

นอกจากนี้เขายังชี้ให้เห็นว่า การวิเคราะห์นี้ใช้ได้ผลในหลายระดับ เนื่องจากสามารถใช้เพื่อติดตามการกระทำของตัวแสดงที่เป็นที่รู้จัก รวมทั้งระบุบุคคลที่ไม่รู้จักก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจ

ยังมีงานอีกมากที่ต้องทำ

แม้จะมีการต่อต้านเรื่องเหล่านี้ แต่ Morell ก็ยังคงแสดงความเห็นอย่างชัดเจนว่า เราต้องตระหนักถึงผลกระทบด้านความมั่นคงแห่งชาติของเทคโนโลยีใด ๆ อยู่เสมอ ซึ่งรวมถึงคริปโตด้วย  สมมุติฐานของเขาอันต่อไปคือ เหรียญแบบส่วนตัว (private coins) เช่น monero สามารถปิดบังข้อมูลที่ระบุตัวตน เช่น ที่อยู่กระเป๋าสตางค์และจำนวนธุรกรรม เขาได้เห็นตัวแสดงที่ผิดกฎหมายเคลื่อนไหวไปในทิศทางนั้น เพื่อตอบสนองต่อการตรวจสอบข้อเท็จจริงของรัฐบาล

นอกจากนี้เขาถูกถามเกี่ยวกับ วิธีที่ชุมชนข่าวกรองและผู้บังคับใช้กฎหมายควรเข้าสู่แอปพลิเคชันที่ไม่ใช่ทางการเงิน ที่สามารถสร้างขึ้นจากบล็อกเชน เช่น การส่งข้อความ การแชร์ไฟล์ หรือโปรแกรมเครือข่ายสังคม แม้ว่าคำถามนี้จะอยู่นอกเหนือขอบเขตของรายงานนี้ แต่เขาก็เสนอคำตอบที่ละเอียดอ่อน ซึ่งเน้นถึงความสมดุลระหว่างการปกป้องพลเรือน โดยไม่ละเมิดสิทธิบางประการ เช่น ความเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขากล่าวว่า “เป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องรักษาความเป็นส่วนตัว และสิทธิเสรีภาพของชาวอเมริกัน ผมเชื่อว่าแม้บางครั้งมันจะยาก แต่ก็เป็นไปได้เสมอที่จะทำทั้งสองอย่าง”

มองทุกอย่างในภาพรวม

แต่ทั้งหมดที่กล่าวมา Morell แสดงให้เห็นว่า เนื่องจากการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมายในคริปโต ค่อนข้างต่ำ แต่ควรใช้ความระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่า งานด้านนิติวิทยาศาสตร์ การบังคับใช้กฎหมายและหน่วยข่าวกรอง ไม่ได้ลบล้างความจำเป็นที่สหรัฐฯจะต้องก้าวตามจีนในเรื่องนี้ สู่นวัตกรรมทางการเงิน ในความเป็นจริงเขากลัวว่า สหรัฐฯซึ่งกำลังก้าวไปอย่างรวดเร็ว เกี่ยวกับการพัฒนาดอลลาร์ดิจิทัลจะชะลอตัวลงไปอีก หากมีความกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับปัญหานี้

แน่นอนว่ายังมีอีกหลายอย่างที่ต้องดำเนินการระหว่างนี้ถึงตอนนั้น เช่น ยังไม่มีความชัดเจนว่าสกุลเงินดิจิทัลอธิปไตยจะทำงานบนบล็อกเชนหรือไม่ โดยเฉพาะแพลตฟอร์มที่มีการกระจายอำนาจเช่น Bitcoin, Ethereum เป็นต้น ดูเหมือนว่ามันอาจจะต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวดมากขึ้นอย่างน้อยก็สำหรับการเปิดตัวเบื้องต้น

กล่าวได้ว่าแรงดึงดูดที่เกิดขึ้นจากโลกาภิวัตน์ เอื้อให้เกิดการกระจายอำนาจ โดยที่ไม่มีใครควบคุมอินเทอร์เน็ตจริงๆ ดังนั้นประเด็นของ Morrell จึงคุ้มค่าที่จะศึกษาเป็นอย่างยิ่ง

ที่มา: Forbes