หลังจากที่ Elon Musk ได้ออกมาประกาศผ่านทวิตเตอร์เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่าบริษัท Tesla จะยกเลิกยอมการรับชำระเงินด้วยบิทคอยน์ เนื่องจากกังวลปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และจนกว่าการขุดบิทคอยน์จะถูกปรับปรุงให้มีความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น บริษัทตั้งเป้าที่จะพิจารณาการรับชำระเงินด้วยคริปโตเคอร์เรนซีสกุลอื่น ที่ใช้พลังงานน้อยกว่า 1% ของพลังงานในการทำธุรกรรมผ่านบิทคอยน์หนึ่งครั้ง
ทวีตดังกล่าวทำให้ชุมชนชาวคริปโตเริ่มคาดเดากันถึงสินทรัพย์ที่ Tesla จะนำมาใช้แทนบิทคอยน์ โดยการวิเคราะห์จาก TRG data centers พบว่าบิทคอยน์มีการใช้พลังงานเฉลี่ย 700 KWh ต่อธุรกรรม ซึ่งเทียบเท่าได้กับการใช้พลังงานในประเทศเนเธอร์แลนด์ และมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใกล้เคียงกับประเทศสิงคโปร์
Ethereum ที่มีโปรโตคอลแบบ Proof-of-Work แบบเดียวกับบิทคอยน์ มีการใช้พลังงานประมาณ 62.56 KWh ต่อธุรกรรม ซึ่งมีการประเมินว่าเครือข่ายของ Ethereum มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่ากับประเทศซูดาน
Ripple ( XRP) ซึ่งกำลังมีคดีฟ้องร้องกันระหว่างก.ล.ต.กับบริษัท Ripple มีการใช้พลังงานเพียง 0.0079 KWh ต่อธุรกรรม
Stellar Lumens (XLM) ซึ่งมีพื้นฐานเหมือนกับเหรียญ XRP ที่ได้ปรับเปลี่ยนมาใช้โปรโตคอลแบบ SCP (Stellar Consensus Protocol) มีรายงานว่าใช้พลังงานน้อยกว่าโปรโตคอลแบบ Proof-of-Work และ Proof-of-Stake เช่นกัน
Algorand (ALGO) ที่ทำงานบนโปรโตคอลแบบ Pure Proof-of-Stake อาจเป็นคู่แข่งคนสำคัญ เนื่องจากในวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา ได้มีการประกาศว่าระบบบล็อกเชนของ ALGO มีการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ และด้วยความร่วมมือกับ ClimateTrade บริษัทเทคโนโลยีด้านการเงินของสเปน ALGO ตั้งเป้าที่จะสร้างเครือข่ายที่มีการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นลบ
และ Dogecoin เหรียญสุดรักของ Elon Musk ที่แม้ DOGE จะถูกสร้างขึ้นจากเครือข่ายของ Litecoin ที่ใช้โปรโตคอลแบบ Proof-of-Work แต่ Dogecoin และ Litecoin ใช้อัลกอริธึม Scrypt ซึ่งเป็นคนละแบบกับบิทคอยน์ในการขุด มีการประมาณว่า Litecoin ใช้พลังงาน 18.522 KWh ต่อธุรกรรม ขณะที่ Dogecoin ใช้พลังงานเพียง 0.12 KWh ต่อธุรกรรม
โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา Elon Musk ได้ทำโพลสำรวจความคิดเห็นผ่านทวิตเตอร์ของเขาว่า “บริษัท Tesla ควรจะรับชำระเงินด้วย Dogecoin หรือไม่?”
“The Cryptic Poet” ได้คาดการณ์ว่า Tesla จะนำสกุลเงินอย่าง Ethereum หรือ XRP มาใช้แทนบิทคอยน์ แต่ผู้ใช้ทวิตเตอร์ “Massimo” ได้ชี้ให้เห็นว่าหาก Tesla จะนำ ETH ซึ่งปัจจุบันมีโปรโตคอลแบบ Proof-of-Work แบบเดียวกับบิทคอยน์มาใช้ มันก็อาจจะลงเอยในสถานการณ์เดียวกัน