Cardano (ADA) คือแพลตฟอร์มบล็อกเชนสาธารณะที่ใช้ Proof of Stake (POS) ในการตรวจสอบและยืนยันธุรกรรม ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2558 โดย Charles Hoskinson ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ก่อนที่จะได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปีพ.ศ.2560 และได้ก่อตั้งองค์กรทั้งหมดสามองค์กรเพื่อเข้ามาพัฒนาและดูแล Cardano ได้แก่ Cardano Foundation, IOHK และ Emurgo โดยมีราคาอยู่ที่ 2.15 ดอลลาร์ต่อ 1 ADA (70.82 บาทต่อ 1 ADA) ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2564
อะไรทำให้ Cardano แตกต่างจากเหรียญอื่น ๆ
ผู้พัฒนากล่าวว่า Cardano เป็นบล็อกเชนเจนเนอเรชันที่ 3 ที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในบล็อกเชนยุคก่อน ๆ โดยประกอบด้วยความสามารถในการเพิ่มขยาย (Scalability), ความสามารถในการทำงานร่วมกัน (Interoperability) และ ความยั่งยืน (Sustainability) ผ่าน Layered Architecture โดยหากเปรียบเทียบกับบล็อกเชนยุคแรกอย่าง Bitcoin แม้ว่าจะอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมระหว่างกลุ่มคนได้ แต่ก็มีข้อจำกัดในการทำธุรกรรมทางการเงินบางประเภท อีกท้งไม่สามารถสร้างเงื่อนไขบนการทำธุรกรรมนั้น ๆ ได้ และ Ethereum ซึ่งเป็นบล็อกเชนเจเนอเรชันที่ 2 ได้เข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการสร้างเงื่อนไขบนการทำธุรกรรมได้ เช่น Smart Contact อย่างไรก็ตาม Bitcoin และ Ethereum ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอสำหรับการเพิ่มขยาย รวมถึงไม่มีระบบการกำกับดูแลที่ดีเท่าที่ควร โดยสามารถดูได้จากการเกิดฟอร์ค (fork) ขึ้นของ Bitcoin Cash และ Ethereum Classic
Cardano ขึ้นชื่อว่าเป็น Ethereum Killer
แม้ว่าการอัปเกรต London Hard Fork ของ Ethereum ทำให้ความเร็วในการทำธุรกรรมของ ETH นั้นอยู่ประมาณ 20-30 ธุรกรรมต่อวินาที แต่หากเทียบกับ ADA แล้วนั้นในระหว่างการทดสอบสามารถทำธุรกรรมได้อย่างน้อย 257 ธุรกรรมต่อวินาที
ไม่เพียงแค่นั้นค่าธรรมเนียมของ Cardano ยังน้อยกว่า Ethereum กว่า 50 เท่า โดยค่าธรรมเนียมของ ADA อยู่ประมาณ 0.17 ADA (0.21 ดอลลาร์) และค่าธรรมเนียมของ Ethereum อยู่ประมาณ 0.006 ETH (10 ดอลลาร์)
ที่ผ่านมา Tesla เองก็ได้ออกมาพูดถึง Bitcoin ในเรื่องการทำลายสิ่งแวดล้อม โดยหากมองการสิ้นเปลืองพลังงานของ ETH แล้วนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 14.81 เทระวัตต์ (14,810,000,000,000 วัตต์) โดยหากเทียบกับ ADA นั้นอยู่เพียง 0.00052 เทระวัตต์ (5,200,000,000 วัตต์) ซึ่งแตกต่างกันเป็นสัดส่วน 28,480 เท่า
จึงไม่เป็นที่แปลกในหากว่า Cardano นั้นจะได้ชื่อว่า Ethereum Killer โดยตอนนี้ได้ไต่อันดับมาอยู่เคียงข้าง Ethereum ซึ่งเป็นเหรียญอันดับ 2 ของโลกเป็นที่เรียบร้อย
Layered Architecture คืออะไร?
บล็อกเชนของ Cardano ถูกพัฒนาด้วย layered architecture 2 ชั้น ประกอบด้วย Cardano Settlement Layer (CSL) ซึ่งทำหน้าที่บันทึกมูลค่าของบัญชี โดยได้ไอเดียจากบล็อกเชนของ Bitcoin มาพัฒนาต่อเป็นอัลกอริธึมแบบ Proof of stake ในการสร้างบล็อกใหม่และยืนยันธุรกรรม อีกทั้งยังมี Cardano Computation Layer (CCL) ซึ่งทำหน้าที่บันทึกเหตุผลในการทำธุรกรรมนั้น ๆ ทำให้สามารถกำหนดเงื่อนไขในการทำธุรกรรมเองได้ โดยการทำธุรกรรมดังกล่าวไม่ได้เชื่อมต่อกับ CSL แต่อย่างใด
กระเป๋าเงินจากผู้พัฒนา Cardano
กระเป๋าเงินเดดาลัส (Daedalus Wallet) เป็นกระเป๋าเงินแบบ open source ที่ถูกสร้างขึ้นโดยทีมงานของ Cardano โดยจุดประสงค์ของมันคือ เป็นกระเป๋าเงินที่เก็บ cryptocurrency และผู้ใช้งานสามารถแลกเปลี่ยน cryptocurrency ได้อย่างอิสระ
การพัฒนา Smart Contact ด้วย Cardano ดีอย่างไร
Smart Contact นั้นมีหลายชนิดที่นิยมใช้กัน ที่นิยมมากที่สุดตอนนี้ก็คือ Ethereum (ETH) จะเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อธุรกิจต่าง ๆ เข้ามาในเครือข่ายของ ETH ที่ในยุคก่อน ๆ ก็จะเป็นพวก Web ในฝั่ง Client เปิดผ่าน Browser และเชื่อมต่อผ่าน Protocol TCP เข้ามายัง Server ที่เป็นหลังบ้าน
ส่วน Cardano (ADA) จะใช้ตัวกลางในการเชื่อมต่อเครือข่ายโดยใช้เป็น Decentralized Application (DApps) ผ่าน Smart Contact ที่เชื่อมโยงกับ Blockchain โดยมีข้อดีคือค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมจะถูกลงและระยะเวลาในการทำธุรกรรมเร็วขึ้น ซึ่งการพัฒนา Smart Contact ด้วย ADA นั้นจะใช้ภาษา Plutus และ Marlowe เป็นหลัก
เกร็ดเล็กน้อยก่อนถือ ADA
- Charles Hoskinson ผู้ก่อตั้ง Cardano มักจะถูกแซวโดยกลุ่มชุมชนคริปโตบ่อย ๆ ว่าพูดเก่ง และเก่งมากกว่าการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ซึ่งตรงข้ามกับ Vitalik Buterin ที่มักจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้กับแฟนคลับของเขาเสมอ
- Cardano ถูกมองว่าเป็นผู้นำไอเดียของ Ethereum และถูกนำมาเปรียบเทียบกับโครงการของเหรียญต่าง ๆ มากมาย เช่น Bitcoin, Ethereum และ Polkadot เป็นต้น
- แม้ว่า Hoskinson จะถูกแซวโดยชุมชมคริปโตบ่อยครั้งว่าเก่งแต่พูด แต่เขาก็เป็นแกนนำม็อบของชุมชนคริปโตในการต่อต้านการร่างกฎหมายภาษีคริปโตใหม่ในสหรัฐฯ ที่ผ่านมา
- ก่อนที่ Cardano จะมาเป็นเหรียญอันดับ 3 ของโลก ได้มีประเด็นกับ Adam Back ผู้ที่อ้างว่า Hoskinson และ Vitalik ไม่เข้าใจการทำงานของ Bitcoin อย่างแท้จริงและบอกว่า Ethereum และ Cardano นั้นเป็น Faketoshi (แสลงมาจาก Satoshi) ก่อนที่ Hoskinson จะเพิ่มฉายาว่า King of Rat ลงในทวีตของตนเอง