<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

3 สาเหตุที่ราคา Bitcoin ร่วงลงอย่างรุนแรงในวันนี้จนทำให้นักเทรดขวัญกระเจิงกันอีกครั้ง

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

วันนี้ยังคงเป็นวันที่ค่อนข้างสาหัสสำหรับสาวกคริปโตและ Bitcoin อีกครั้ง หลังจากที่เมื่อวานนี้เราได้เห็นราคาเหรียญเบอร์หนึ่งของตลาดอย่าง Bitcoin ร่วงลงอย่างรุนแรงราวกับฆาตกรรมหมู่กว่า 10% ตามที่ทาง Siam Blockchain ได้รายงานไป 

ซึ่งในวันนี้ดูเหมือนสถานการณ์นั้นจะยิ่งย่ำแย่เข้าไปอีกหลังราคา Bitcoin ได้ร่วงแตะระดับ $40,000 เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นับเป็นการร่วงลงอย่างต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันจนทำให้นักเทรดต่างวิตกกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นท่ามกลางความผันผวนของตลาดการลงทุนทั่วโลกที่กำลังเผชิญกันอยู่

และแม้ว่าในขณะที่เขียนบทความนี้ ราคา Bitcoin จะสามารถยืนเหนือระดับ $42,000 ได้ แต่หลายคนก็ยังไม่นิ่งนอนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเบื้องหลังการร่วงลงของราคา Bitcoin ในครั้งนี้คืออะไร? สิ่งใดเป็นชนวนให้เกิดการฆาตกรรมหมู่โลกคริปโตในสองวันที่ผ่านมา? ไปติดตามกันได้ในบทความนี้

วิกฤตหนี้ Evergrande ที่อาจลุกลามไปทั่วโลก

ประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญมากที่สุดและส่งผลกระทบต่อตลาดการลงทุนมากที่สุดในขณะนี้นั่นก็คือวิกฤตหนี้สินมูลค่ากว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง “Evergrande Group” ที่ตอนนี้ดูเหมือนจะเริ่มส่งสัญญาณเชิงลบเป็นวงกว้างแล้ว 

โดยเหตุการณ์วิกฤตในครั้งนี้เป็นชนวนสำคัญที่ทำให้ตลาดทุนทั่วโลกระส่ำระส่ายไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ที่นำโดย S&P 500, Dow Jones และ Nashdaq ร่วงลดกว่า 1-3% ในวันเดียว ตลาดทองคำ ตลาดคริปโต และตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นตลาดที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดในจีน

หลายคนเชื่อว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นคล้ายกับวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008 ที่เกิดจากภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของอเมริกา และขยายผลกระทบอย่างใหญ่หลวงเป็นวงกว้างไปทั่วโลก ทำให้นักลงทุนแห่เทขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อป้องกันเงินทุน

ความกังวลนี้ยังได้ส่งมาถึงตลาดคริปโตเคอร์เรนซีและ Bitcoin อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากเป็นตลาดที่มีเม็ดเงินการลงทุนมหาศาล อีกทั้งจีนยังเป็นผู้เล่นคนสำคัญในตลาดคริปโตอีกด้วย ดังนั้นปัญหาเศรษฐกิจที่เริ่มถดถอยของจีนและวิกฤตหนี้ของบริษัทยักษ์ใหญ่จากจีน Evergrande ในครั้งนี้อาจเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เม็ดเงินจากตลาดคริปโตไหลออกไปช่วยพยุงตลาดทุนในจีนก็เป็นได้

ความกังวลในการลดวงเงิน QE ก่อนการประชุม FED 

อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกนั่นก็คือการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายทางการเงิน FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED ซึ่งจะเปิดฉากการประชุมในวันที่ 21-22 กันยายนนี้ แน่นอนว่าการประชุมดังกล่าวจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดทุนทั่วโลกอย่างเห็นได้ชัดไม่ว่าจะเป็นการคงอัตราดอกเบี้ย การเพิ่มลดวงเงิน QE หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นต้น

โดยมีการคาดการณ์กันว่าประเด็นหลักที่จะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในวาระการประชุมนั่นก็คือ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งหัวใจสำคัญที่เราควรจับตาดูนั้นอยู่ที่ทิศทางในการกับกำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ต่อเศรษฐกิจ

นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่า FED จะส่งสัญญาณในการลดปริมาณ QE ในปลายปีนี้ นั่นหมายความว่าเม็ดเงินที่จะถูกอัดฉีดเข้ามาในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะถูกลดลง หลังจากในปีที่ผ่านมามีการอัดฉีดเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์

สิ่งนี้อาจทำให้เกิดความกังวลของผู้เล่นในตลาดคริปโตเนื่องจากความสัมพันธ์ของปริมาณเม็ดเงินที่อัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจกับมูลค่าของตลาดคริปโตนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ขาขึ้นครั้งใหญ่ของราคา Bitcoin ในช่วงปลายปี 2020 สหรัฐฯ มีการเพิ่มวงเงิน QE และอัดฉีดเม็ดเข้ามาอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจในวิกฤตโควิด-19 จนทำให้เม็ดเงินเหล่านั้นไหลเข้าสู่สินทรัพย์การลงทุนยอดนิยมที่ให้ผลตอบแทนสูงอย่าง Bitcoin ผลักดันให้ราคาทำ ATH เป็นประวัติศาสตร์พุ่งแตะ $64,000

อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดความกังวลในการลดวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจสำหรับการประชุมที่จะเกิดขึ้น นั่นส่งผลให้ราคา Bitcoin ในสัปดาห์นี้ปรับตัวลงอย่างรุนแรงและมีความผันผวนเป็นอย่างมาก โดยความกังวลนี้เป็นเพียงการคาดการณ์ผลการประชุมของ FED เพียงเท่านั้น

เราต้องติดตามกันต่อว่าท้ายที่สุดผลการประชุมจะออกมาเป็นอย่างไร จะมีการลดปริมาณวงเงินหรือจะอัดฉีดเพิ่มเข้ามาหรือไม่? อัตราดอกเบี้ยจะยังคงถูกครึงต่อไหม? เป็นสิ่งที่เราจะได้ทราบกันในสัปดาห์นี้ 

ตัวเลขเผยกันยายนเป็นเดือนอาถรรพ์ในโลกคริปโต

สถิติในอดีตบ่งชี้ว่าราคา Bitcoin ในเดือนกันยายนของทุกปีนั้นมีท่าทีที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก อ้างอิงข้อมูลจาก Bybt.com ตารางข้อมูลด้านล่างแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของราคา Bitcoin 5 ปีให้หลังในแต่ละเดือน โดยย้อนกลับไปในปี  2017 ที่เป็นปีทองขาขึ้นครั้งใหญ่ล่าสุดก็ยังพบว่าในเดือนกันยายนราคา Bitcoin มีการปรับตัวลดลงกว่า 7% เลยทีเดียว

และหากลองไล่ดูมาเรื่อย ๆ ในปี 2018, 2019 และ 2020 ก็จะพบว่าในเดือนกันยายนนี้ราคาของ Bitcoin มีการร่วงลงอย่างรุนแรงพาตลาดกลายเป็นสีเลือดทุกครั้ง โดยในปี 2019 ถือว่าเป็นอาถรรพ์เดือนกันยายนที่หนักที่สุด ติดลบไปถึง 13% เลยทีเดียว

ซึ่งในปี 2021 นี้เหล่าสาวกคริปโตและ Bitcoin ก็ยังเฝ้าดูสถานการณ์อย่างไม่คลาดสายตาเนื่องจากราคา Bitcoin ได้ร่วงลงมาแล้วเกือบ 10% นับตั้งแต่เริ่มต้นสัปดาห์เมื่อวานนี้ ส่งผลให้มีการหยิบยก “อาถรรพ์เดือนกันยายน” ขึ้นมาพูดกันอีกครั้งหนึ่ง

สุดท้ายนี้ต้องติดตามกันต่อว่าอีก 10 วันที่เหลือก่อนจะจบสิ้นเดือนกันยายน ราคาของ Bitcoin จะมีการเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหน จะสามารถลบอาถรรพ์ที่มีมาตลอด 5 ปีหลังได้หรือไม่ นักลงทุนไม่ควรพลาดในการติดตามข่าวสารและการเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด