ถือเป็นช่วงขาขึ้นอย่างเป็นทางการจริง ๆ สำหรับ Bitcoin ในเดือนตุลาคมนี้หรือที่สาวกส่วนใหญ่เรียกกันว่าเดือน “Uptober” ซึ่งสาเหตุนั้นก็เนื่องมาจากในเดือนตุลาคมของทุกปี ราคา Bitcoin มักจะทำผลงานได้อย่างน่าพอใจและถือเป็นเดือนที่เกิด Bull Run อย่างรุนแรง อ้างอิงตามสถิติในอดีต
อย่างไรก็ตามแม้ราคา Bitcoin ในเดือนตุลาคมจะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงแค่ไหน แต่ก็มิวายที่จะมีนักเทรดอีกหลายท่านขาดทุนจากตลาดขาขึ้นในเดือนนี้ เรียกได้ว่าเป็นการขาดทุนสวนทางกับตลาดเลยทีเดียว วันนี้ทาง Siam Blockchain รวบรวม 7 พฤติกรรมเสี่ยงที่อาจจะก่อให้เกิดอาการ “ขาดทุน” ในช่วงตลาดขาขึ้นมาให้ได้ติดตามกัน
- ขาดกลยุทธ์และการวางแผนในการเทรด
พฤติกรรมแรกที่ส่อเค้าให้มีโอกาสขาดทุนได้นั่นก็คือการขาดการวางแผนและวิธีการรับมือในการเทรด แม้จะเป็นสิ่งง่าย ๆ อันดับแรกที่ควรทำก่อนการเข้าซื้อและลงทุนทุกครั้ง แต่ก็ยังถูกใครหลายคนมองข้ามความสำคัญเหล่านี้ไป โดยสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ขาดทุนนั่นก็คือเมื่อซื้อแล้วไม่มีการวางแผนการรับมือ เมื่อตลาดเกิดการย่อตัวหรือกลับตัวทำให้ราคาร่วงลงอย่างรุนแรง และรีบขายทิ้งทันทีในที่สุด
ในขณะเดียวกันเมื่อถึงจุดที่สามารถทำกำไรได้แล้วแต่ยังไม่มีแผนหรือเป้าหมายที่จะแบ่งขายทำกำไรก็อาจจะทำให้ผลกำไรที่โชว์อยู่อยู่บนหน้าจอพอร์ตกลับกลายเป็นติดลบได้ในชั่วพริบตา ซึ่งต้องบอกว่ากลยุทธ์และการวางแผนในการเทรดนั้นมีส่วนช่วยอย่างมากให้นักเทรดตั้งเป้าหมายในการทำกำไร (Take Profit) หรือแม้แต่การยับยั้งการขาดทุน (Cut Loss) ได้เป็นอย่างดี นักเทรดมือใหม่จึงควรศึกษาและวางแผนพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์
- ใช้อารมณ์ชั่ววูบเหนือแผนการเทรด
แน่นอนว่าในตลาดขาขึ้นมักจะมีช่วงเวลาการย่อตัวของราคาลงมาเพื่อไปต่อเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งนี้จะเป็นจุดวัดใจว่านักเทรดจะตื่นตระหนกกับการร่วงลงในระยะสั้นหรือไม่ ซึ่งการย่อตัวของราคานี้หรือบางคนอาจเรียกว่า “การสลัดเม่า” ของวาฬ อาจทำให้ใครหลายคนเกิดอาการกลัวและรีบกดขายทิ้งทันที ลืมแผนการเทรดและเป้าหมายที่จะทำกำไรไปโดยปริยาย
สิ่งนี้สามารถแก้ไขและเพิ่มความแข็งแกร่งของสภาพจิตใจได้จากการมีประสบการณ์ในการเทรดคริปโต ซึ่งจะช่วยให้นักเทรดเข้าใจตลาดและไม่เกิดความกลัวหรือรีบขายทิ้งตามอารมณ์ หรืออีกนัยนึงที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการซื้อตามอารมณ์เช่นเดียวกัน หากเห็นว่าราคาได้พุ่งไปไกลแล้วแต่ยังกลัวการตกรถจึงรีบ FOMO ตามไป นั่นอาจเป็นสัญญาณแห่งการใช้อารมณ์ในการซื้อและนำไปสู่อาการขาดทุนในที่สุด
ตัวอย่างที่เราจะเห็นได้หลัก ๆ นั่นก็คือพวกเหรียญประเภทเหรียญมีม เช่น Dogecoin และ Shiba Inu เป็นต้น
- Short สวนตลาดขาขึ้น
การ Short สวนทางกับเทรนด์ขาขึ้นของตลาดนั้นมีแนวโน้มที่จะทำให้นักเทรดขาดทุนจนไปถึงการหมดตัวได้ค่อนข้างสูง โดยสาเหตุหลัก ๆ มาจากการใช้ Leverage สูง ประกอบกับการคาดการณ์ว่าราคาได้พุ่งขึ้นมาสูงแล้ว จึงทำให้หลายคนตัดสินใจ Short สวนทางกับตลาดขาขึ้น แน่นอนว่าตลาดคริปโตนั้นยากต่อการคาดเดา ดังนั้นผลสรุปออกมาจึงมักสวนทางกับนักเทรดเสมอ
ซึ่งเราจะได้เห็นข้อมูล On-Chain กันอยู่บ่อย ๆ ว่ามีนักเทรด Futures หลายคนถูก Liquidated จำนวนมากด้วยมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ โดยเหรียญยอดฮิตที่ถูกล้างพอร์ตมากที่สุดนั่นก็คือ Bitcoin นั่นเอง
- ไม่ Cut loss เมื่อราคาสวนทาง
อีกหนึ่งสาเหตุยอดฮิตที่ก่อให้เกิดการขาดทุนนั่นก็คือการไม่ “Cut Loss” ในกรณีที่ตลาดเกิดการร่วงลงอย่างรุนแรงเปลี่ยนเทรนด์เป็นขาลงอย่างฉับพลัน ไม่ว่ากราฟทางเทคนิคอลหรือข่าว FUD จะส่งผลต่อตลาดก็ตาม ซึ่งการไม่ Cut Loss นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการไม่ทำตามแผนที่วางไว้ในการเทรด เรียกได้ว่าเป็นส่วนที่ยากที่สุดสำหรับนักเทรดมือใหม่หลาย ๆ คนที่ต้องจำใจขายทิ้งเพื่อรักษาต้นทุนที่เหลือไม่ให้ขาดทุนจนเกินไป
เนื่องจากส่วนใหญ่ยึดคติที่ว่า “ไม่ขายไม่ขาดทุน”, “รออีกสักพักเดี๋ยวมันก็ขึ้นมาใหม่” คำกล่าวนี้มักเป็นคำหลอกลวงชั้นดีที่ทำให้นักเทรดมือใหม่เชื่อไปตาม ๆ กัน เมื่อราคาร่วงลงไปนาน ๆ เกิดการขาดทุนสะสมเยอะขึ้นเรื่อย ๆ พอถึงเวลาที่ต้องการขายจริง ๆ จะ Cut Loss ก็ไม่ทันเสียแล้ว
- วิตกกังวลมากจนเกินไป
นักเทรดมือใหม่หลายคนมักจะเริ่มมีความวิตกกังวลกับเหรียญที่ถือครองอยู่เนื่องจากตลาดคริปโตนั้นมีความผันผวนค่อนข้างสูง ทำให้ราคาเกิดการเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงอย่างรุนแรง เมื่อราคาเกิดการย่อตัว นักเทรดที่จิตใจไม่แข็งพอก็อาจจะรีบขายเพื่อที่จะได้ไม่ขาดทุนมากจนเกินไป
เช่นเดียวกันกับการวิตกกังวลว่าจะตกรถในขาขึ้นรอบนี้ ทำให้นักเทรดรีบเข้าซื้อในขณะที่ราคาสูง เมื่อราคาร่วงลงมาเล็กน้อยจึงสูญเสียความมั่นใจและเกิดอาการวิตกกังวล ส่งผลให้รีบทำการขายเพื่อรักษาเงินต้นในที่สุด
- หวังรวยทางลัดเทรดแต่เหรียญซิ่ง
หนึ่งสาเหตุยอดนิยมที่ทำให้นักเทรดขาดทุนจากตลาดขาขึ้นนั่นก็คือการเทรดเหรียญซิ่ง เช่น เหรียญตระกูลมีม เหรียญปั่น เหรียญที่สร้างขึ้นมาใหม่บนโลก Defi เป็นต้น แน่นอนว่าหากคุณเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่เข้าไปเทรดอาจจะสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาล แต่เมื่อไรก็ตามที่ผู้คนเลิกให้ความสนใจ โปรเจกต์ไม่มีแผนการพัฒนาต่อ เมื่อนั้นมูลค่าของเหรียญพวกนั้นก็อาจจะไม่มีค่าเลยก็เป็นได้ ดังเช่น Lungtoo, Safemoon และ Fuckelon เป็นต้น
พฤติกรรมนี้เปรียบเสมือนดาบสองคมที่มีความเสี่ยค่อนข้างสูง (High Risk, High Return) วิธีแก้ปัญหาที่ได้ผลดีที่สุดก็คือการเทรดเหรียญ Top 10 ที่ติดอันดับมูลค่าตลาดโดยรวมหรือเทรดเหรียญที่มีพื้นฐานดีอย่างเช่น Bitcoin, Ethereum, Binance Coin หรือ Cardano เป็นต้น แต่ถ้าหากคุณเป็นกลุ่มคนที่ชื่นชอบความเสี่ยง อาจจะแบ่งเงินที่สามารถสูญเสียได้สัก 1%-5% เพื่อเป็นการเรียนรู้ในตลาดเหรียญซิ่งพวกนี้
- นำเงินร้อนมาเทรด
พฤติกรรมสุดท้ายที่สุ่มเสี่ยงมากที่สุดที่จะทำให้ขาดทุนนั่นก็คือการนำเงินร้อนมาเทรด อย่างที่ผู้เชี่ยวชาญ กูรูนักลงทุนหลายท่านได้ย้ำเตือนเสมอว่าการลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาทำความเข้าใจและไม่นำ “เงินร้อน” มาใช้ในการลงทุน ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย เช่น การเงินไม่พอใช้ในชีวิตประจำวัน, กลัวการขาดทุนจากการเทรด เป็นต้น สิ่งนี้ยังรวมไปถึงการกู้หนี้ยืมสินเพื่อมาลงทุนอีกด้วย
ซึ่งสามารถแก้ไขด้วยการใช้ “เงินเย็น” ในการลงทุน โดยต้องเป็นเงินที่สูญเสียได้ ไม่รีบใช้จนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน และที่สำคัญต้องไม่กู้ยืมมา เมื่อนั้นแล้วก็จะสามารถเทรดและลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ต้องพะวงว่าจะต้องใช้เงินที่ลงในทันที
และนี่ก็เป็นตัวอย่างพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงที่อาจทำให้นักลงทุนขาดทุนได้ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้จะเห็นได้จากนักลงทุนส่วนมากในตลาดไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมือเก่าก็ดี ล้วนแล้วแต่ต้องเคยเผชิญกับเหตุการณ์ดังกล่าว โดยสิ่งที่จะช่วยให้นักเทรดอยู่ในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดก็คืออาศัย “ประสบการณ์และเรียนรู้จากข้อผิดพลาด” นั่นจะทำให้ความเสี่ยงอาการขาดทุนนั้นลดน้อยลง