เนื่องจากความนิยมของระบบนิเวศน์ของ Ethereum จนทำให้โปรเจคที่รันบนแพลทฟอร์มดังกล่าวทุกอย่างตั้งแต่โปรโตคอล DeFi ไปจนถึงการทำ NFT ส่งผลทำให้ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจบนเครือข่ายก็มีเช่นกัน โดยค่าธรรมเนียม หรือค่า gas ที่มีหน่วยเป็น gwei (เศษเสี้ยวของ ETH) ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ส่งผลทำให้ผู้คนออกมาแสดงความไม่พอใจเป็นระยะๆ เกี่ยวกับความสามารถในการใช้งานของเครือข่าย และได้เปิดโอกาสให้ผู้ท้าชิง Ethereum เช่น Solana, Avalanche และ Polkadot ได้ออกมาเสนอตัวเองเป็นทางเลือกที่ชูตัวเองว่าถูกกว่าและเร็วกว่า
การโต้เถียงเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมของ Ethereum ถึงจุดเดือดอีกครั้งเมื่อเดือนที่แล้ว โดยทวีตจากนักลงทุน crypto นามว่า Su Zhu หรือผู้ร่วมก่อตั้ง Three Arrows Capital ได้กล่าวว่า “ใช่ ผมละทิ้ง Ethereum ไปแล้ว แม้ว่าจะเคยสนับสนุนมันในอดีต ใช่และก็ละทิ้งผู้ใช้งาน Ethereum ไปเช่นกันทั้ง ๆ ที่เคยสนับสนุนพวกเขาในอดีต”
แต่ Joe Lubin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum และ CEO ของ ConsenSys กลับมีมุมมองที่แตกต่างออกไปเกี่ยวกับความกังวลเรื่องค่าธรรมเนียม
“ค่าธรรมเนียมที่สูงเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ” เขากล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Decrypt บนเวทีที่ Dcentral ซึ่งเป็นงานประชุมที่ไมอามีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว “มันเป็นความเจ็บปวดในการเติบโต เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเทคโนโลยีใหม่ประสบความสำเร็จ ก็จะมีปัญหาเรื่องการ scaling เสมอ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัฒจักรของ CPU, หรือเรื่องอสังหาริมทรัพย์แบบเสมือน, หรือหน่วยความจำ คุณจะได้เห็นวิศวกรซอฟต์แวร์ที่สามารถดึงเอาศักยภาพของเทคโนโลยีมาได้สูงสุด และดูเหมือนว่าตอนนี้เราได้เห็นผู้บริโภคที่ดึงเอาศักยภาพสูงสุดของเทคโนโลยีออกมาแทน”
Lubin กล่าวเสริมว่า Ethereum 2.0 ซึ่งเขากล่าวว่าน่าจะมาถึงภายใน “ไตรมาสที่ 2 หรืออาจจะเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 ในปีหน้า” จะช่วยจัดการทั้งต้นทุนการทำธุรกรรมและการใช้พลังงาน เขายังได้กล่าวถึงคู่แข่งของ Ethereum อย่างเป็นมิตรเกี่ยวกับโปรเจคของพวกเขาด้วย แต่ก็มีการโจมตีว่าเครือข่ายของคู่แข่งนั้นถึงท้ายที่สุดแล้วก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมที่เพิ่มสูงขึ้นได้ในอนาคตแน่
“เราเห็นแล้วว่าความสามารถในการปรับขนาดเกิดขึ้นที่ Layer 2 และที่ Layer 2 เราเห็นการทำธุรกรรมนับร้อยและหลายหมื่นรายการต่อวินาทีซึ่งมีราคาถูกมากจริง ๆ พวกมันราคาถูก ทั้ง Solana และ Avalanche ต่างก็มีราคาที่ไม่แพง” Lubin กล่าว “นั่นเป็นทั้งระบบที่ยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตามในขณะที่ Solana และ Avalanche มีผู้บริโภคใช้งานมากขึ้น เราจะได้เห็นค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้นถึง $1 และ $2 สำหรับเทคโนโลยีเหล่านั้น Ethereum จะเป็นบล็อคเชนของบล็อคเชน มันจะเป็นเลเยอร์การชำระสินทรัพย์ดิจิทัลที่สำคัญ มันจะเป็นเลเยอร์การประสานงานสำหรับเทคโนโลยีเลเยอร์ 2 ที่หลากหลายมากมาย”
Lubin กล่าวว่าปัจจุบันเครือข่าย Ethereum มี validator ที่เข้าใกล้ 200,000 รายบนเครือข่ายแล้ว และด้วยการมาของ Ethereum 2.0 และการเปลี่ยนไปใช้กลไก proof-of-stake ในอนาคตจะส่งผลทำให้ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด “กำแพงกั้นสำหรับผู้เริ่มต้นนั้นต่ำมาก ใคร ๆ จะสามารถเข้าไปทำก็ได้”