<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

‘หมู ณัฐวุฒิ’ ผู้ก่อตั้ง Six Network แชร์เคล็ดลับความสำเร็จสู่การเป็นเศรษฐีที่มีความสุข

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

หลายคนคงรู้จัก คุณหมู ญัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ ในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจและสังคมไทย เขามักให้คำแนะนำและสร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่หลายคน รวมทั้งมีส่วนร่วมในการส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทย ซึ่งครั้งนี้คุณหมูออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านช่องยูทูป aomMONEY ในคลิปที่มีชื่อตอนว่า “จากนักธุรกิจสู่นักลงทุน คุณหมู-ญัฐวุฒิ | Millionaire Mindset EP.9 ” ซึ่งในคลิปนี้ คุณหมู ญัฐวุฒิได้ เปิดเผย Mindset และเทคนิคการลงทุนของเขาสู่เส้นทางของการเป็นเศรษฐี  

ทำความรู้จักคุณหมู ญัฐวุฒิ

คุณหมู ญัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “หมู ณัฐวุฒิ” นักธุรกิจชาวไทยปัจจุบันเป็น CEO ที่บริษัท Ookbee ซึ่งเมื่อก่อนเป็นร้าน E-book ที่ปัจจุบันกลายเป็นแพลตฟอร์ม Digital Content หลายๆ อย่าง อีกทั้งคุณหมูยังเป็น CEO ของบริษัท SIX Network หนึ่งในโปรเจกต์เหรียญคริปโตชื่อดังของไทยและเป็น Manager Partner ที่กองทุน 500 TukTuks เป็นกองทุนที่ปัจจุบันมีมูลค่าภายใต้การจัดการกว่า 3,000 ล้าน ซึ่งตอนนี้ลงทุนในสตาร์ทอัพต่าง ๆ ไปมากกว่า 100 บริษัทแล้ว นอกจากนี้ปัจจุบันคุณหมูยังเป็น Shark ในรายการ Shark Tank Thailand รายการเกี่ยวกับการลงทุน ธุรกิจ SME อีกด้วย

Six Network

สำหรับบทบาทของคุณหมูในวงการคริปโต คุณหมูเล่าว่า บริษัท SIX Network ก่อตั้งขึ้นมาได้ประมาณ 4 ปีแล้ว ช่วงนั้นมีกระแสโปรเจกต์ต่าง ๆ ที่ออกเป็น ICO เนื่องจากเมื่อก่อนที่ทำธุรกิจสตาร์ทอัพ มีการระดมทุนด้วยการขายหุ้นบริษัท ได้ออกหุ้นใหม่ให้นักลงทุน แต่ช่วงนั้นเรียกว่า เป็น Initial Coin offerin คือมีการออกมาเป็นโทเค็นแล้วระดมทุนจากนักลงทุน

ซึ่งคุณหมูอยู่ในโลกของการระดมทุนและการลงทุนเป็นหุ้นมาโดยตลอด ตอนนั้นคุณหมูคิดว่า ถ้าหากทำสตาร์ทอัพขึ้นมา แล้วสามารถระดมทุนด้วยโทเค็นได้ก็น่าสนใจ SIX จึงเริ่มต้นขึ้นมาจากตรงนี้ หลังจากระดมทุนมาเสร็จ SIX ก็ได้พัฒนาโปรแกรมต่าง ๆ ออกมาเรื่อย ๆ เรียกว่า เทคโนโลยี Blockchain ซึ่งคล้ายกับอินเทอร์เน็ตเมื่อก่อน ที่ทุกอย่างเคยทำอยู่ในเว็บ 2.0 กลายมาเป็นเว็บ 3.0 เป็น Decentralized ต่าง ๆ ใช้ระยะเวลามาประมาณ 3-4 ปีแล้ว

คุณหมูกล่าวว่า ปัจจุบัน SIX โฟกัสจะทำ chain ของบริษัทเอง เป็น Protocol ของบริษัทเอง แล้วทำโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้องกับ NFT ต่างๆ จากนั้นเป็น partner กับบริษัทต่าง ๆ เพื่อดูว่าเขามีไอเดียอะไร เหมือนเป็น Consult ที่ดึงขึ้นมาอยู่บนตลาด Decentralized

Mindset สำคัญสำหรับการเป็นเศรษฐี

คุณหมูเล่าถึง Mindset สำคัญสำหรับการเป็นเศรษฐีว่า สามารถแบ่งออกเป็น 5 ข้อหลัก ๆ คือ 

1. เรื่องของ Growth Mindset เป็นการมองเรื่องอุปสรรคว่า อุปสรรคไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ ให้มองอุปสรรคว่าเป็น Challenge เล็กๆ ที่เราต้องพยายามพัฒนาตัวเองเพื่อก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้ ซึ่ง Growth Mindset สามารถใช้ได้กับทุกเรื่อง ทั้งเรื่องส่วนตัว ,เรื่องสุขภาพ , การออกกำลังกาย, การกิน และเรื่องการทำงาน หากเวลาที่เราขี้เกียจ ให้เราพยายามมองว่า มันเป็น Challenge ที่ต้องพัฒนา

2. การลงมือทำ คุณหมูกล่าวว่า ตนเองเป็นคนชอบทดลองทำอะไรต่าง ๆ เวลามีไอเดียมา พอคิดซัก 2-3 วัน ก็จะลองหาทางว่าจะลองทำอะไรเล็ก ๆ ดูดีกว่า  คุณหมูกล่าวว่า ถ้าเรามีมุมมองอย่างนี้เหมือนกับการได้ฝึกตัวเอง เมื่อรู้เรื่องราวจากการอ่านหรือการฟังมา มันจะได้ความรู้ไม่เท่ากับการได้ลงมือทำเอง ซึ่งเวลาทำเราสามารถทดลองทำเล็ก ๆ ได้ ลองดูเป็นประสบการณ์

3. การบริหารเวลา เป็นสิ่งเดียวที่ทุกคนมีเท่ากัน ซึ่งคนที่พัฒนาตัวเอง ต่อให้มีเงินมากเท่าไหร่ ก็มีเวลาเท่ากัน ถ้าหากเรารู้จักใช้เวลาไปทำสิ่งที่ดี เหมือนเรามีกำไร การบริหารเวลา ไม่ใช่แค่การทำงานหนัก แต่เป็นการเข้าใจว่า เราต้องใช้เวลากับอะไรที่มันสำคัญ รู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร โดยตั้งเป้าหมายว่า เวลาทำงาน วันนี้อยากทำอะไรให้เสร็จ แล้วจด list ออกมาจากนั้นก็ทำให้เสร็จ ไม่ใช่การทำงานให้ครบ 8 ชั่วโมง แล้วก็นั่งให้เวลาผ่านไป ระหว่างนั้นก็เล่นโทรศัพท์จนหมดวัน เพราะฉะนั้นเราสามารถบริหารเวลาได้ ส่วนเรื่องการพักผ่อนก็เป็นสิ่งที่จำเป็น ต่อให้เป็นคนเก่งขนาดไหน เวลาพักผ่อนไม่พอ ส่งผลให้ทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ ในขณะที่ถ้าหากเราพักผ่อนเพียงพอ สามารถส่งผลให้เราทำงานมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นถึง 2 เท่า นอกจากนี้ คุณหมูกล่าวว่า ในปัจจุบันเราควรคิดว่า วันนี้เราอยากทำอะไร , ทำงานอะไรให้เสร็จ แล้วค่อยๆ เดินไปทีละก้าว เพราะการขยับทีละนิดโดยไม่หยุด เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ทุกคนเติบโตขึ้น หรือทำให้คุณหมูมีได้แบบทุกวันนี้

4. ทุกอย่างคือบทเรียนในชีวิตเสมอ เวลาผ่านไปเมื่อมองย้อนกลับไปจะรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น มันเป็นเรื่องเล็ก ๆ มุมมองแบบนี้ทำให้เราเข้าใจว่าเวลาทำผิดพลาดอะไรไป  จริง ๆ เรื่องมันอาจจะไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น ในอนาคตเมื่อเรามองกลับไป พอคิดอย่างนี้ได้ก็เหมือนเป็นบทเรียน หากต้องเสียเงินหรือขาดทุนให้มองเป็นค่าเล่าเรียน 

5. ความสุขคือสิ่งที่ทำได้เลยตอนนี้ คุณหมูเชื่อว่า ความสุขสามารถหาได้เลยในปัจจุบัน เรื่องง่ายที่ ๆ สามารถทำได้ทุกวันที่ตื่นมา เช่น เอาเวลามาใช้กับคนในครอบครัว รวมถึงมีสติตลอดเวลาว่าทุกวันนี้เวลามันผ่านไป เราไม่จำเป็นต้องเลื่อนความสุขเล็ก ๆ เหล่านี้ออกไป เช่น ความสุขจากการพักผ่อนให้เพียงพอ ,ได้ทำสิ่งที่อยากทำในทุกวัน และให้ดูแลเรื่องสุขภาพ,เรื่องการงาน ,การเงินให้ดีหรือดีขึ้นทุกวัน มันเป็นความสุขในปัจจุบันที่โอเคในแต่ละวันแล้ว

3 เทคนิคลงทุนสู่การเป็นเศรษฐี 

ในส่วนของแนวคิดเรื่องการลงทุน คุณหมูได้หยิบยก 3 เทคนิคสู่การเป็นเศรษฐี ว่า สามารถแบ่งออกเป็น 3 ข้อหลัก ๆ คือ

  • มีวินัยในการออมเงิน 

คุณหมูกล่าวว่า ไม่เคยใช้จ่ายเกินกว่าเงินที่หาได้  ตอนเริ่มทำธุรกิจ หรือเริ่มทำงานใหม่ๆ รายได้ไม่เยอะ เขาใช้เงินไม่เคยเกินรายได้ที่ได้รับ แต่สิ่งที่แตกต่างออกไป เมื่อเวลาผ่านไปคือ มุมมองในเรื่องการลงทุน  พอคุณหมูเริ่มเก็บสะสมเงินขึ้นมาได้หรือมีรายได้มากขึ้น วิธีการลงทุนของเขาคือสามารถกระจายพอร์ตการลงทุนให้มันหลากหลายมากขึ้น หรือสามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้น

สำหรับการจัดสรรรายได้ของคุณหมูคือ ต้นเดือนเมื่อได้รายได้มา เขาจะแบ่งส่วนออกเป็นเงินเก็บ และ เงินลงทุน แล้วหักเงินออกมาก่อนเลย ส่วนการใช้จ่ายจิปาถะ เขาจะใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต เพราะเหตุผลสองข้อ ข้อแรกคือมันได้เครดิตไปอีกหนึ่งเดือน ข้อสองคือมันมี Transaction ที่ไม่ต้องมานั่งจดเองว่าใช้เงินทำอะไรไปบ้าง  ส่วนบางคนอาจจะมีเวลาทำบัญชีรายรับ รายจ่าย แต่คุณหมูจะใช้ผ่านบัตรเครดิตเกือบทั้งหมด ส่วนค่ารถ ค่าบ้าน จะไม่ได้ใช้บัตรเครดิต 

อย่างไรก็ตามคุณหมูมีการมาทำบัญชีเดือนละครั้ง เป็นการดูภาพรวมว่าเงินลงทุนเป็นยังไง พอร์ตที่ลงทุนปัจจุบันเป็นยังไง เติบโตไหม จะมีการโยกย้ายอะไรบ้าง เงินออมเท่าไหร่ บัญชีรายรับ รายจ่าย มีรายได้ รายจ่ายเท่าไหร่ 

  • กระจายความเสี่ยงในการลงทุน

คุณหมูกล่าวว่า เนื่องจากการลงทุนมีความเสี่ยง ดังนั้นควรมีการกระจายพอร์ตการลงทุนคือ เงินส่วนใหญ่อาจจะไปซื้อพันธบัตรหรือลงทุนในหุ้น แต่สำหรับคุณหมูได้มีการกระจายพอร์ตทั้งใน Cryptocurrency และ NFT แต่พอร์ตไม่ได้ใหญ่มากนัก เพราะคริปโตมีความเสี่ยงสูง ซึ่งผลตอบแทนก็น่าจะสูงด้วย เมื่อซื้อ NFT มาทำให้ได้สิทธิ์ commercial rights เขาก็จะเอามาทำเป็น logo เรือทำเป็น NFT ให้เพื่อน ๆ ใช้ เพราะมูลค่าคริปโตหากถือไว้ระยะยาวแล้วคริปโตกลับมาหรือคนใช้ NFTมากขึ้น ราคาอาจจะกลับมาจึงเหมือนกับการลงทุนในระยะยาว สำหรับบางคนอาจจะลงทุนเป็นหุ้น ,ที่ดิน,สะสมงานศิลปะ แต่คุณหมูเก็บ NFT เรียกว่าเป็นการลงทุนแบบหนึ่งในแง่ของคริปโตกับงานศิลปะ 

  • อย่าออมเงินอย่างเดียว

คุณหมูกล่าวว่า เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมีการสอนให้คนเข้าใจ เรื่องเงินเฟ้อ 

เพราะถ้าคนเริ่มเข้าใจ นอกจากหาเงินมาได้แล้วต้องมีการเอาเงินไปลงทุนด้วย ซึ่งแค่ลงทุนไม่พอแต่ต้องเฉลี่ยผลตอบแทนออกมาแล้วผลตอบแทนต้องได้เท่ากับเงินเฟ้อหรือมากกว่าเงินเฟ้อ ไม่งั้นแสดงว่าเราลงทุนไปแล้วเราก็ยังจนลงทุกปีอยู่ดี

คุณหมูยังกล่าวเสริมว่า อยากให้คนเข้าใจว่าการลงทุนที่แย่ที่สุดของเรา อย่างน้อยต้องเท่ากับเงินเฟ้อหรือว่าชนะเงินเฟ้อ เช่น สมมุติมีพันธบัตรรัฐบาลออกมาไม่กี่ %  ผลตอบแทนก็ดีขึ้นนิดนึงหรือเงินที่เอาไปฝากธนาคารแล้วได้ดอกเบี้ย 1%- 2% แปลว่าหากเราเก็บเงินส่วนใหญ่ในอนาคต เรากำลังจนลงเรื่อย ๆ เพราะดอกเบี้ยที่ออกมาไม่ชนะอำนาจการซื้อของเงิน

สรุป

เทคนิคสู่การเป็นเศรษฐีที่มีความสุขในทุกวันของคุณหมู ณัฐวุฒิ คือ การจะทำอะไรให้ลองทำทีละนิด อย่าเพิ่งไปทำทีละเยอะ ๆ เช่นลงทุนในหุ้นหรือคริปโตให้ลงทุนทำทีละนิด เพราะทุกครั้งที่เสียไปเหมือนเป็นค่าเล่าเรียน มุมมองเหล่านี้หากเราฝึกไปเรื่อย ๆ ส่งผลให้เราเป็นคนมีความต้านทานสูง เวลาผิดพลาดเราจะมองเป็นเรื่องเล็ก ๆ แล้วสามารถทำใหม่ได้เรื่อย ๆ

นอกจากนี้เรื่องของการใช้เวลา พอเวลาผ่านไป 5-10 ปีแล้ว เราจะย้อนเวลากลับไปไม่ได้ ดังนั้นทุกวันนี้พยายามใช้เวลาให้มีประโยชน์ ส่วนเรื่องที่ผิดพลาดให้มองว่าตราบใดที่สุขภาพยังดีอยู่ เรื่องอื่นค่อยพัฒนาไป หากเราก้าวพลาดจำไว้เป็นบทเรียนครั้งต่อไปทำยังไงไม่ให้ผิดพลาดแบบเดิมอีก

ที่มารูปภาพ : scb , techsauce , marketplus