<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

5 ปัจจัยที่จะส่งผลให้ราคา Bitcoin พุ่งขึ้นไปแตะ 40,000 ดอลลาร์ได้

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคา  Bitcoin ได้พุ่งขึ้นไปแตะ 38,000 ดอลลาร์ก่อนที่จะร่วงลงมาเล็กน้อยในเวลาต่อมา เหตุการณ์นี้ทำให้นักลงทุนต่างตั้งคำถามว่า จะมีโอกาสที่ราคาเหรียญจะขยับขึ้นไปที่ 40,000 ดอลลาร์ไหม

เพราะในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ จะมีตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีศักยภาพต่างๆ ที่จะส่งผลโดยตรงกับแนวโน้มของราคา Bitcoin ในช่วงที่ตลาดยังคงมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นอยู่ ทาง Cointelegraph จึงได้รวบรวมและสรุปปัจจัยต่างๆ ที่จะส่งผลต่อราคาเหรียญในช่วงนี้

ราคาเหรียญในกราฟรายเดือนที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่า 10%

ในตอนนี้ราคา Bitcoin กำลังอยู่ตรงทางแยก เพราะในอีกไม่นานนี้ราคาเหรียญในกราฟรายเดือนซึ่งถือเป็นวันที่สำคัญสำหรับเทรดเดอร์จะปิดลง

ซึ่งการที่ราคาเหรียญเพิ่มขึ้นมาไม่มากนัก บวกกับสภาพคล่องในตลาดที่มีน้อยอยู่ จึงมีความเป็นไปได้ว่าราคาเหรียญจะยังไม่สามารถทะลุแนวต้านสำคัญที่ 40,000 ดอลลาร์ได้ โดยกราฟราคาในรายสัปดาห์ล่าสุด ราคา Bitcoin ยังคงอยู่ที่ประมาณ 37,000 ดอลลาร์อยู่

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์และเทรดเดอร์ชื่อดังอย่าง Skew ได้ชี้ว่าโมเมนตัมราคาเหรียญนั้นกำลังจะกลับมา โดยชี้ให้เห็นถึงจำนวนการเปิดตำแหน่งซื้อขายแบบ Spot ที่เพิ่มมากขึ้น และจำนวนการ Short ราคาเหรียญที่ลดลง

“ดูเหมือนว่าความนิยมในตลาดสปอตนั้นกำลังตีกลับและการ short ส่วนใหญ่นั้นถูกไล่ออกจากตลาด; กางเกงขาสั้นส่วนใหญ่ถูกบังคับให้ออกจากตลาด”

“ในตอนนี้สภาพคล่องที่เสนอราคาจำนวนมากอยู่ต่ำกว่า 37,000 ดอลลาร์ ดังนั้นหากนักลงทุนสปอตยังคงเป็นผู้ขายสุทธิ นี่จะเป็นแรงผลักดันที่จำเป็นที่จะเสริมให้แนวรับแข็งแกร่งมากขึ้น”

“และสำหรับสภาพคล่องหรืออุปทานนั้น ยังคงอยู่ระหว่าง 38K – 40K ดอลลาร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สำคัญสำหรับช่วงราคาที่สูงขึ้น”

ตัวชี้วัดอัตราเงินเฟ้อที่สำคัญของ Fed

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา Bitcoin คือการรายงานอัตราเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่จะมีการประกาศอีกในไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลต่อต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายอัตราดอกเบี้ยในเดือนถัดไป

โดยประธาน Fed อย่าง Jerome Powell จะออกมารายงานในวันที่ 1 ธันวาคม ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลที่ตลาดสนใจมากที่สุดคือในช่วงไตรมาสที่ 3 ของ GDP และค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) สำหรับเดือนตุลาคม

ซึ่งรายงานของข้อมูลมหภาคของสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ แสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อลดลงเร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้ ซึ่งนำไปสู่การประเมินสินทรัพย์เสี่ยงที่เป็นไปในเชิงบวกมากยิ่งขึ้น

และข้อมูลจาก FedWatch ชี้ว่า อัตราต่อรองของอัตราการถือครองของ Fed ในระดับปัจจุบันอยู่ที่ระดับที่สูงถึง 99.5%

การจับตามองของการอนุมัติ GBTC ที่จะส่งผลต่อราคา Bitcoin

อีกหนึ่งปัจจัยที่จะส่งผลต่อราคา Bitcoin คือความเป็นไปได้ที่หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ (SEC) จะอนุมัติให้กับกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนราคาสปอต (ETF) แห่งแรกของประเทศ ซึ่งตลาดยังคงเชื่อว่าจะมีการอนุมัติ โดยเฉพาะกับ Grayscale Bitcoin Trust (GBTC)

ส่งผลให้ราคาหุ้นของ GBTC ลดลงเกือบ 50% โดยที่มีสัดส่วนลดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิหรือ NAV เพียง 8% ตามข้อมูลของ CoinGlass

นอกจากนี้ ในวันที่ 10 มกราคม ก็จะถึงกำหนดชั่วคราวสำหรับการอนุมัติ Bitcoin Spot ETF ของ ARK Invest ที่ถ้าหากว่าถูกปฏิเสธ จะส่งผลให้การอนุมัติ ETF อื่นๆ เลื่อนออกไปอีกครั้ง ที่คาดว่าน่าจะจบลงภายในวันที่ 15 มีนาคม 2024

Bitcoin Hash rate พุ่งเกิน 500 exahash

ก่อนที่ Bitcoin Halving จะเกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2024 นักขุด Bitcoin ต่างเข้ามาประมวลผลผ่านการขุดในเครือข่าย Bitcoin กันเป็นจำนวนมาก จนทำให้ อัตราแฮช ซึ่งเป็นค่าที่ใช้วัดจำนวนการประมวลผลในระบบขึ้นไปแตะจุดสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาที่ 500 EH/s​

ในเวลาเดียวกัน จำนวน Bitcoin ที่ไหลออกจาก Wallet ไปยังกระดานเทรดนั้นต่ำที่สุดในรอบเจ็ดปี ซึ่งแพลตฟอร์มการวิเคราะห์ CryptoQuant ชี้ว่าการที่เหรียญเข้าสู่กระดานเทรดจะเพิ่มสภาพคล่องให้กับแพลตฟอร์มนั้นๆ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดแรงขายตามมาด้วย

จำนวน Bitcoin ในกระดานเทรดที่กลับมาอยู่ในแนวโน้มขาลงอีกครั้ง

หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นในกระดานเทรดและการดำเนินการทางกฎหมายกับกระดานเทรดคริปโตต่างๆ ส่งผลให้ยอดคงเหลือ Bitcoin นั้นมีแนวโน้มที่ลดลงอีกครั้ง

โดยข้อมูลล่าสุดจากบริษัทวิเคราะห์ออนไลน์ Glassnode เผยว่า จำนวนการถือครอง Bitcoin ในกระดานเทรดรวมกันอยู่ที่ 2.332 ล้าน BTC ซึ่งน้อยที่สุด นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2018 ในขณะที่จุดสูงสุดอยู่ที่ 3.321 ล้าน BTC

​ที่มา: CoinTelegraph