<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ตลาดคริปโตในปีนี้จะเป็นอย่างไร? Chairman ของ Velo Labs มีคำตอบ

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ปัจจุบันมีโปรเจคคริปโตหรือโปรเจค  Blockchain เกิดขึ้นมากมายในประเทศไทย ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เน้นย้ำถึงศักยภาพของคนไทยและความสามารถในการเติบโตของตลาดคริปโตในไทย

เมื่อวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา คุณ ตฤบดี อรุณานนท์ชัย ผู้ก่อตั้ง Velo Labs ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Siamblockchain ในงาน Blockchain 2 Government Conference เกี่ยวกับโปรเจ็คเหรียญคริปโตของคนไทยที่ใช้ชื่อว่า Velo Labs

โปรเจคเหรียญคริปโตของคนไทยกำลังจับมือกับหลายประเทศทั่วโลก

คุณตฤบดี ได้ให้ข้อมูลว่าในปัจจุบัน เหรียญ​ Velo มีการใช้งานที่เพิ่มขึ้น มี Volume เพิ่มขึ้นถึง 50 ล้านเหรียญต่อวัน โดยได้เสริมว่า

“เมื่อก่อนมีไว้แค่โอนเงิน แต่ในตอนนี้ได้เพิ่ม Payment Ecosystem เข้าไปด้วย”

เขายังให้ข้อมูลว่าเครือข่าย Nova ซึ่งเป็นเครือข่ายของ Velo Labs ใช้ค่าเทียบในการทำธุรกรรมน้อยมากจนเกือบถึง 0 และในเดือนเมษายนที่จะถึง เครือข่าย Nova จะสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่าย Blockchain อื่น ๆ ได้มากกว่า 200 เครือข่าย

ในขณะเดียวกัน คุณ ตฤบดี ยังให้ข้อมูลว่กระเป๋าคริปโตของ Velo Labs จะสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่น ๆ มากมายทั่วโลกภายในสิ้นปีนี้

นอกจากนี้ยังเสริมว่า ปัจจุบันโปรเจค Velo Labs กำลังจับมือกับประเทศหนึ่งอยู่ เพื่อนำทองคำของประเทศนั้นมาเบค Digital Gold ซึ่งรัฐบาลของประเทศนั้นจะทำ Digital Gold มาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและใช้เป็นสกุลเงินหลักที่ 2 ของประเทศ ซึ่งทาง Velo Labs จะทำในส่วนของ Cleaning House ซึ่งจะมีเงินหมุนเวียนกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน 

ปัจจุบัน Velo Labs กำลังจะเป็นพาร์ทเนอร์กับเครือข่าย Blockchain เครือข่ายหนึ่งที่ติด Top 5 ของโลกในปีนี้

มุมมองของตลาดคริปโตในอนาคต

นอกจากนี้ คุณ ตฤบดี อรุณานนท์ชัย ผู้ก่อตั้ง Velo Labs ยังว่ามองตลาดปีนี้จะเติบโตขึ้นอย่างยั่งยืนจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยเขาได้กล่าวว่า

“ถ้าถามในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ เขาก็อาจจะมองว่าอาจจะมองว่าเกิด bull cycle ที่ประมาณ 12 เดือน แต่ถามในมุม VC Fund คนกลุ่มนั้นอาจจะมอง 3 ปี”

“แล้วนอกจากเรื่องของ  Bitcoin  halving เราจะเห็นเรื่องของการลด interest rate, มีเรื่องของการ QE เพิ่ม สุดท้ายพอมันมีเรื่องของ easy money เข้ามาในระบบบวกกับ Bitcoin ETF ที่เกิดขึ้นทำให้เงินลงทุนจากนักลงทุนสถาบันเข้ามาเพิ่มขึ้นและก็มี speculation ว่าจะมี  Ethereum ETF หรือจะมีรูปแบบอื่น ๆ ที่เป็น instutional product เข้ามาในคริปโต”

“เราต้องอย่าลืมว่าเงินทั้งโลกนั้นมันมากถึง 100-200 ล้านล้านดอลลาร์ แล้วมูลค่าตลาดของ Bitcoin มันยังแค่ 1-2 ล้านล้านดอลลาร์ มันก็ยังเป็น small adoption อยู่ คนก็คาดหวังกันว่าตัวของ crypto web แรกทำให้คนรวยเป็น Millionaire crypto เวฟที่แล้วทำให้คนรวยเป็น 100 ล้านดอลลาร์แต่มีคนมองว่า crypto เวฟนี้จะทำให้คนเป็น billionaire ก็แปลว่าเงินที่จะเข้ามามันก็น่าจะเยอะ”


“ตลาดเวฟที่แล้วคนโฟกัส  DeFi ซึ่งเป็น greed product ซึ่งมันไม่ยั่งยืนแต่รอบนี้คนที่มาจากบริษัทอย่าง Facebook, OpenAI มาทำ product blockchain ที่แก้ปัญหา customer painpoint จริง ๆ พอมันเป็น customer painpoint จริง ๆ มันมี underlying value มันจะสามารถเกิด bull run จริง ๆ ที่มันจะกินเวลามากกว่า 2-3 ปีได้ซึ่งอันนี้แหละที่ผมมองว่ามันคือ google หรือ facebook project ของคริปโตเหมือนกับตอนอินเทอร์เน็ตที่เกิด Bull cycle แค่ 1997-2000 มันแค่ 3 ปีพอตัวของ google ออกมาตัว cycle มันกลับอยู่ได้เป็น 10 ปีเลยเราเลยค่อนข้างจะ positive ว่าถ้ามีโปรเจกต์แบบ google บนบล็อกเชนออกมาเราน่าจะมี Bull cycle ที่มัน susstainable กว่าและก็กินระยะเวลาได้นานกว่าส่วนตัวผมก็ค่อนข้าง Positive ครับ ”