นิตยสารยักษ์ใหญ่ด้านธุรกิจและการเงินในสหรัฐอเมริกาอย่าง “Forbes” ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับเหรียญคริปโตจำนวน 20 โปรเจกต์ที่มีมูลค่าตลาดที่สูงแต่กลับแทบไม่มีการใช้งานจริง โดยจัดหมวดหมู่ให้อยู่ในกลุ่ม “บล็อกเชนซอมบี้”
ลิสต์ดังกล่าวยังได้มีการระบุถึงเหรียญคริปโตชื่อดังมากมายอาทิ Ripple ( XRP), Cardano (ADA), Litecoin (LTC), Bitcoin Cash (BCH), และ Ethereum Classic (ETC) ซึ่งทั้งหมดที่ได้มีการกล่าวมาล้วนแล้วแต่มีลักษณะเด่นตรงที่ยังคงดำเนินการโปรเจกต์และมีนักลงทุนแห่เทรดกันอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามบล็อกเชนกลับปราศจากความต้องการในการใช้งานได้จริง หรือไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์หลักของโปรเจกต์
คำว่า “บล็อกเชนซอมบี้” หมายถึงโปรเจกต์บล็อกเชนร้างที่แทบไม่มีคนใช้งาน ซึ่งหมายถึงการที่ไม่มีการใช้งานจริง หรือมีฐานของผู้ใช้งานที่น้อย ส่วนสาเหตุที่เหรียญเหล่านี้ยังคงอยู่รอดต่อไปได้ หรือบางกรณีก็เฟื่องฟูขึ้นด้วยซ้ำเป็นผลมาจาก การซื้อขายเพื่อเก็งกำไร และการระดมทุนจำนวนมากตั้งแต่เริ่มต้น
นักวิเคราะห์ของ Forbes ระบุว่าเหรียญ XRP โปรเจกต์ที่ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดสูงเป็นลำดับที่ 7 ของโลกคริปโตนั้นเดิมทีถูกสร้างมาเพื่อแข่งขันกับเครือข่ายธนาคาร SWIFT โดยมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกในการโอนเงินระหว่างประเทศอย่างรวดเร็วด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำ
อย่างไรก็ตาม XRP นั้นล้มเหลว และยังไม่สามารถเข้ามาแทนที่ระบบ SWIFT ได้สำเร็จ และปัจจุบันยังต้องพึ่งพารายได้จากการเทรดเพื่อเก็งกำไรมากกว่าการใช้งานเครือข่าย ทำให้ปัจจุบันเหรียญดังกล่าวนั้นแทบจะไร้ประโยชน์
มากไปกว่านั้นนักวิเคราะห์รายดังกล่าวยังได้วิจารณ์ XRP ด้วยว่าเป็นเหรียญที่อยู่ไปวัน ๆ ไร้จุดหมาย เพราะปัจจุบัน SWIFT ก็ยังคงแข็งแกร่งอยู่ มิหนำซ้ำยังมีวิธีส่งเงินข้ามพรมแดนผ่านบล็อกเชนที่สะดวกกว่าอย่างการใช้ stablecoin อย่าง Tether USDT
ด้านเหรียญที่มาจากการ hard forks อย่าง Litecoin, Bitcoin Cash, Bitcoin SV, และ Ethereum Classic นั้นแม้จะมีมูลค่าตลาดที่สูงเกินพันล้านดอลลาร์ แต่ก็ไม่ได้ถูกใช้เต็มประสิทธิภาพ และเหมาะสำหรับการเป็นเครื่องมือในการเก็งกำไรมากกว่า
นอกเหนือจากนี้เหรียญที่ถูกต่างขนานนามว่าเป็นผู้ที่จะมาล้ม Ethereum อย่าง Tezos (XTZ), Algorand (ALGO), และ Cardano (ADA) ก็ถูกตีตราว่าเป็นเหรียญซอมบี้ด้วยเช่นกัน เพราะแม้ว่าจะมีเทคโนโลยีชั้นสูงที่น่าสนใจแต่เหรียญเหล่านี้กลับไม่ได้มีการยอมรับและนำไปปรับใช้งานจริง เนื่องจากปัญหาด้านความยากลำบากในการใช้งานของเครือข่าย โดยทาง Forbes ยังได้กล่าวถึง ADA ด้วยอีกว่าปัจจุบันที่ยังคงมีการเทรดกันอยู่เป็นผลมาจากความนิยมในตัวผู้สร้างเครือข่ายอย่าง Charles Hoskinson ที่แยกตัวออกมาจาก Vitalik Buterin ผู้สร้าง Ethereum
ทั้งนี้รายงานของ Forbes ยังได้ชี้ให้เห็นว่าโปรเจกต์ต่าง ๆ เหล่านี้นั้น ขาดกลไกธรรมาภิบาล และความรับผิดชอบทางการเงิน โดยได้ทำการดำเนินงานโดยไร้ซึ่งการกำกับดูแลจากหน่วยงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นคงของโปรเจกต์ดังกล่าว
ที่มา : Cryptobriefing