การขุดคริปโตนั้นเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่นักลงทุนหลายคนให้ความสนใจ เพราะเชื่อมันว่าขอแค่เสียบปลั๊กและให้เครื่องจักรทำงานโดยอัตโนมัติ เดี๋ยวไม่นานรายได้ก็จะไหลเข้ามาเอง ซึ่งผู้ใช้พันทิปรายนี้ก็เคยคิดเช่นนั้นและอยากหารายได้เสริมจากการขุด Bitcoin จนกระทั่งเวลาผ่านมา 3 ปีเขาถึงรู้ตัวว่า “เจ๊ง” ยูเซอร์คนดังกล่าวจึงได้นำประสบการณ์ความล้มเหลวนี้มาแชร์หาชาวเน็ตฟัง
กระทู้ดังกล่าวถูกตั้งขึ้นโดยผู้ใช้งานพันทิป หมายเลข 1157226 เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน โดยได้แบ่งออกเป็น 2 พาร์ท ในพาร์ทแรกเขาได้เกริ่นอธิยายถึงหลักการขุดว่า
ในการการขุด Bitcoin นั้นไม่เหมือนกับการรับจ้างขุดสระน้ำ เพราะในการขุดสระน้ำคุณขุดเป็นคิว สมมติว่าผู้จ้างให้คิวละร้อย คุณสามารถขุดได้ 10 คิว ก็ได้ค่าตอบแทนหนึ่งพัน ซึ่งคุณจะใช้คนขุดกี่คนก็ไม่เกี่ยว เป็นการจ่ายตามปริมาณงานที่ได้
ส่วนขุดคริปโต จะจ่ายเป็นวัน เช่นจ่าย วันละ 5 BTC คนขุด 100 คน ได้ครบจำนวนที่เขากำหนด ก็ได้ 5 BTC ไปแบ่งกัน ตามกำลังที่ขุดได้หารเฉลี่ยกันออกมาถ้าคนขุด 1000 คน ก็ต้องเอา 5 BTC มาเฉลี่ยกัน ทำให้รายได้ก็น้อยลงและยิ่งถ้าเจอยักษ์มาร่วมขุดด้วยรายได้ยิ่งน้อยลงไปอีก แถมเมื่อถึงเวลา halving รายได้ยิ่งลดไปอีก ดังนั้น ตัวแปรการขุดจึงมีเยอะมาก ทำให้เขาขอยอมแพ้และหันกลับไปเป็นนักเทรด
ถัดมาในพาร์ทที่ 2 เขาได้เข้ามาขยายความอธิบายเพิ่มเติมว่า เดิมที่นั้นเขาเป็นคนที่มีความรู้ความเข้าใจในอุตสาหกรรมนี้ดีพอสมควร มีการเลือกใช้เครื่องขุดแทนการ์ดจอ สามารถออกแบบห้องขุดโดยใช้อากาศพลศาสตร์ แทนที่จะใช้แอร์เพื่อระบายความร้อนแทนได้ ซึ่งตัวเขานั้นมั่นใจมาก ๆ ว่าธุรกิจนี้จะไปได้สวย
เจ้าของกระทู้เริ่มต้นจากการดึงเงินออกจากพอร์ตหุ้นประมาณ 800,000 บาท เพื่อมาซื้อเครื่องขุด ซึ่งเขาได้เลือกขุดตระกูล ETH etc เครือข่าย (Algorithm) Ethash ซึ่งเขาก็ทราบดีและรู้มาล่วงหน้ามาก่อนแล้วว่าเครือข่ายกำลังจะเปลี่ยนระบบจาก PoW เป็น PoS โดยเชื่อว่าเมื่อ ETH ขุดไม่ได้ ไม่น่ามีปัญหาอะไร มีตัวอื่นอีก 4-5 ตัว ย้ายไปขุดตัวอื่นก็ได้
ซึ่งผลประกอบการหกเดือนแรกรายได้ หักค่าไฟแล้วเหลือเดือนละ 30,000 – 40,000 และเจ้าของกระทู้ได้นำกำไรที่ได้มาต่อยอดด้วยการเทรด และนำเงินมาซื้อเครื่องขุดเพิ่มเติมจาก 2 ไป 3 ไปเรื่อย ๆ จนมีด้วยกันทั้งสิ้น 9 ตัว ซึ่งเมื่อรวมมูลค่าทั้งหมดจะตกอยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้าน บาท และเครื่องส่วนใหญ่นั้นเป็นเครื่องมือสอง
ทว่าเมื่อ ETH เปลี่ยนระบบ ฝันร้ายก็ได้เข้ามาเยือนเพราะเครือข่าย Ethereum นั้นใหญ่กว่าเหรียญอื่น ๆ ในเครือเป็น 10 เท่า ทำให้แรงขุดจำนวนมหาศาลที่ขุดไม่ได้แล้วนั้นถูกเทลงมาที่เหรียญอื่น ๆ ที่เขาขุดอยู่ทำให้รายได้จากการขุดของเขาลดลงเป็น 10 เท่าจาก 30 ดอลลาร์ เหลือเพียง 3 ดอลลาร์ ในชั่วข้ามคืน ส่งผลให้เข้าต้องจำใจปิดเครื่องเพราะไม่คุ้มทุน
นอกเหนือจากเหรียญตระกูล ETH แล้วเขายังได้มีเครื่องขุดตระกูล BTC 2 เครื่องและก็ยังฝืนทนขุดทั้ง ๆ ที่ค่าไฟมากกว่าผลตอบแทน แต่เมื่อการ halving มาถึงเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เขาก็ต้องปิดเครื่องไปอีกเพราะถูกกลไกบีบให้ถอนตัวออกมา โดยสรุปแล้วเครื่องขุดที่เขาปิดไปจะประกอบไปด้วย
- Innosilicon A10 Pro+ 7GB กินไฟ 1350 วัตต์ 2 เครื่อง ขุดเครือข่าย Ethash
- Bitmain Antminer E9 กินไฟ 1950 วัตต์ 1 เครื่อง ขุดเครือข่าย Ethash
- Bitmain Antminer S19J 104 th กินไฟ 3000 วัตต์ 2 เครื่อง ขุดเครือข่าย SHA-256
- Bitmain Antminer d7 กินไฟ 3200 วัตต์ 1 เครื่อง ขุดเครือข่าย x11 (เครื่องนี้ทำเงินเกินค่าเครื่อง)
- Goldshell kd 6 กินไฟ 3300 วัตต์ 1 เครื่อง ขุดเครือข่าย kda
- Bitmain Antminer Z15 กินไฟ1500 วัตต์ 2 เครื่อง ขุดเครือข่าย Equihash ผลตอบแทนยังเป็นบวกเล็กน้อย
โดยสรุปแล้วเจ้าของกระทู้ตั้งข้อสังเกตว่า ได้มีปัจจัยเสี่ยง 3 ประการเข้ามา ทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นอย่างที่คาด ซึ่งจะประกอบไปด้วย
1. ผู้ผลิตเครื่อง ทำเครื่องใหม่ ๆขึ้นมาที่มีคุณภาพดีขึ้น มีผู้เล่นมากขึ้น ป้อนเข้ามามากขึ้น ทำให้แรงขุดสูงจนส่วนแบ่งการขุดลดลง
2. ราคาเหรียญไม่ค่อยขึ้น แถมยังปรับตัวลงต่ำกว่าที่คาดอีก
3. การ Halving ทำให้ได้ส่วนแบ่งน้อยลง
ทั้งนี้ตัวเจ้าของกระทู้เองยังคงมีความคิดที่อยากจะกลับไปขุดอยู่เมื่อผลตอบแทนนั้นกลับมาคุ้มค่า แต่เขาก็ได้เตือนเหล่าคนที่คิดจะขุดด้วยว่า ให้รอบคอบและระวังให้ดี
ที่มา : Pantip