ในขณะนี้ Bitcoin กำลังเผชิญกับการเทขายและซื้อขายต่ำกว่า 60,000 ดอลลาร์ ทำให้นักลงทุนตื่นตระหนก โดยเฉพาะหลังจากการที่ราคา BTC ลดลงสู่ 53,000 ดอลลาร์ในวันที่ 4 กรกฎาคม มูลค่าตลาดรวมของ Bitcoin ลดลงกว่า 5.7% สู่ 2.114 ล้านล้านดอลลาร์ และดัชนีความกลัวและความโลภ Crypto เปลี่ยนจากความโลภเป็นความกลัวสุดขีด
การเทขายครั้งนี้ทำให้เกิดความคิดเห็นที่แตกต่างกันจากผู้เชี่ยวชาญ อย่าง Peter Schiff นักด่า Bitcoin ตัวยงเชื่อว่าตลาดกระทิงยังไม่เริ่มต้นและตลาดหมีคริปโตยังไม่จบ ในขณะที่ Rachel Lin มองเห็นความเป็นไปได้ที่ราคา Bitcoin จะลดลงไปที่ 50,000 ดอลลาร์ก่อนที่จะกลับสู่แนวโน้มขาขึ้น
การลดลงของมูลค่า Bitcoin ครั้งนี้เกิดจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย มีการไหลออกของเงินทุนจาก ETF กว่า 900 ล้านดอลลาร์ในปลายเดือนมิถุนายน
นอกจากนี้ Mt. Gox ได้เคลื่อนย้าย 47,228 BTC เพื่อชำระเงินคืน และรัฐบาลเยอรมนีขาย Bitcoin มูลค่า 900 ล้านดอลลาร์ในวันที่ 8 กรกฎาคมและเตรียมขายเพิ่ม แรงกดดันจากการขายของรัฐบาลเยอรมนี, Mt. Gox และ ETF Bitcoin อาจทำให้เกิดแรงกดดันในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความนิยมที่เพิ่มขึ้นของเหรียญมีม การลดลงครั้งนี้อาจเป็นประโยชน์ต่อตลาดคริปโตที่ไม่ใช่เหรียญมีม
ในอดีต ช่วงเวลาก่อนและหลัง halving Bitcoin เป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับ Bitcoin และการยอมรับ cryptocurrency แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป การเปิดตัว Bitcoin ETF ทำให้ Bitcoin สามารถทำ All-Time-High ใหม่ก่อน halving ทำให้นักลงทุนได้รับราคาที่สูงขึ้นในการเข้าสู่ตลาด ส่งผลกระทบต่ออัตราการยอมรับ Bitcoin
ราคา Bitcoin ที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป ทำให้นักลงทุนหลายคนรู้สึกว่าราคาแพงเกินไป ส่งผลให้เกิดการหันไปสนใจเหรียญมีม มากกว่าการลงทุนในเหรียญอื่นๆ ตามปกติ ในขณะที่การยอมรับคริปโตโดยรวมเพิ่มขึ้น ก็ยิ่งทำให้เหรียญมีมกลับกลายเป็นที่โดดเด่นมากขึ้น
ข้อมูลจาก IntoTheBlock แสดงให้เห็นว่าจำนวนกระเป๋า Bitcoin ที่ใช้งานอยู่ลดลงต่ำสุดในรอบหลายปี โดยมีเพียง 614,770 กระเป๋าที่ใช้งานอยู่ในสัปดาห์ของวันที่ 27 พฤษภาคม ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2018 โดย Juan Pellicer กล่าวว่าการลดลงนี้เกิดจากการมีส่วนร่วมของนักลงทุนรายย่อยที่น้อยกว่าในรอบก่อนหน้า ในขณะเดียวกัน ตลาดเหรียญมีมก็มีการเติบโตอย่างมาก โดยมีมูลค่ากว่า 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นมูลค่าที่ Bitcoin และ altcoin ที่โดดเด่นอื่น ๆ ไม่มี
อีกหลักฐานที่ชี้ให้เห็นถึงสิ่งนี้คือความยืดหยุ่นของ Solana ซึ่งเป็น blockchain ที่มาแรงมากสำหรับเหรียญมีม ทำให้ SOL สามารถแซงหน้า Ethereum ได้เสียทีในแง่ของการไหลเข้าของเงินลงทุน โดยได้รับเงินกว่า 16 ล้านดอลลาร์ แซงหน้า Ethereum ที่ 10 ล้านดอลลาร์ แม้จะมีการลดลงของตลาดล่าสุดก็ตาม
ปีนี้เรียกได้เลยว่ามันเป็นปีของเหรียญมีม ทำให้ Bitcoin และ altcoin ตัวอื่นต้องพยายามทำให้นักลงทุนเชื่อว่าพวกเขาสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ เพื่อดึงดูดความสนใจของนักลงทุนกลับมาจากเหรียญมีม และสิ่งนี้อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คุณคิด แต่ความจริงก็คือ การลงทุนในเหรียญมีมนั้น เป็นการลงทุนระยะสั้น ในขณะที่ข้อยกเว้นเช่น Shiba Inu, PEPE และ Dogecoin ได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถอยู่ได้ในระยะยาว แต่กลับกันเหรียญมีมส่วนใหญ่จบลงด้วยการเป็นโครงการ pump-and-dump
ทั้งนี้ในขณะที่การปรับฐานหลัง halving ปี 2024 ครั้งแรกเริ่มต้นขึ้น นักวิเคราะห์ควรติดตามการไหลเข้าของนักลงทุน BTC และ altcoin ใหม่ ๆ เมื่อเทียบกับผู้ที่เข้าสู่พื้นที่เหรียญมีม ในอีกไม่กี่สัปดาห์และเดือนข้างหน้า สิ่งเหล่านี้จะบอกเราว่ากระแสความนิยมของเหรียญมีมจะคงอยู่ต่อไปหรือไม่
สำหรับการลดลงของราคา Bitcoin ในรอบ Bitcoin นี้ นั้นมีความสำคัญมากกว่าที่เคยเป็นมา เพราะมันสร้างจุดเข้าสำหรับนักลงทุน การลดลงของราคาจะสร้างประสิทธิภาพในระยะยาวของ Bitcoin โดยการดึงดูดนักลงทุนใหม่ และด้วยเงินทุนของเหรียญมีม มูลค่า 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์ที่พร้อมสำหรับการเล่น ทุกอย่างเป็นไปได้
ที่มา: dailycoin
ภาพจาก: Medium