กระแสการคาดการณ์ตลาดขาขึ้นในปี 2025 นั้นกำลังร้อนแรง โดยมีนักวิเคราะห์ในตลาดคริปโตหลายรายคาดการณ์ว่า ราคา Bitcoin จะพุ่งขึ้นกว่า 200%
เช่นเดียวกับ Ash Crypto หนึ่งในนักวิเคราะห์ชื่อดังในวงการที่ได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับตลาดขาขึ้นที่กำลังจะมาถึง พร้อมคาดการณ์ว่า ราคา Bitcoin จะพุ่งทำสถิติใหม่อยู่ที่ 250,000 ดอลลาร์ ในขณะที่ราคา Ethereum มีโอกาสทะยานขึ้นไปถึง 15,000 ดอลลาร์ภายในปี 2025
ปัจจัยอะไรที่ขับเคลื่อนตลาดคริปโตให้สูงขึ้น ?
ตลาดคริปโตโดยรวมมีการซื้อขายที่ซบเซาในปีนี้ โดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์ Bitcoin halving นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงระมัดระวัง และรอสัญญาณขาขึ้นเพื่อทำกำไร
อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าร่วมตลาดจำนวนมากคาดหวังการฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ, การเปิดตัวกองทุน Ethereum ETF และผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในปี 2024 เป็นต้น
นอกจากนี้ ความสามารถของสินทรัพย์ดิจิทัลในการทำธุรกรรมทางการเงินโดยไม่ผ่านสถาบันการเงินและไม่เสียค่าธรรมเนียม ยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดนักลงทุน
การคาดการณ์ตลาดขาขึ้นของ Bitcoin และ Ethereum ในปี 2025 จะเป็นอย่างไร?
Bitcoin สกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าสูงสุดในตลาดคริปโต ประสบกับความผันผวนอย่างรุนแรงในปีนี้ โดยสูญเสียมูลค่าตลาดที่ลดลงไปประมาณ 65% อย่างไรก็ตาม ตลาดคริปโตอาจกลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงปลายปี โดยเฉพาะ Bitcoin ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง
นักลงทุนคริปโตมักมีแนวโน้มมองโลกในแง่ดีเกินจริงเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลที่ตนชื่นชอบ ซึ่ง Bitcoin ก็เป็นหนึ่งในนั้น หลายคนคาดการณ์ว่า ราคา Bitcoin อาจพุ่งสูงถึง 1 ล้านดอลลาร์ ต่อ 1 BTC ในช่วงตลาดขาขึ้นปี 2025
ในทางกลับกัน ผู้ที่ชื่นชอบคริปโตคาดการณ์ว่าราคา Ethereum จะสร้างสถิติสูงสุดใหม่ได้ในปี 2025 โดยคาดหวังว่า ตลาดคริปโตจะฟื้นตัวอีกครั้งในปลายปี 2024 ซึ่งตลาดขาขึ้นมักจะดำเนินไปเป็นระยะเวลาประมาณ 18 เดือน ดังนั้นสิ้นปี 2025 อาจเป็นจุดสิ้นสุดของตลาดขาขึ้น หากราคาคริปโตพุ่งสูงภายในปี 2024 ด้วยเหตุนี้ หลายคนจึงคาดการณ์ว่า ราคา ETH อาจจะพุ่งแตะ 6,600 ดอลลาร์ ในปี 2025
สำหรับคริปโตเคอร์เรนซีที่มีชื่อเสียง ในช่วงตลาดขาขึ้น การเพิ่มขึ้นของราคาในแต่ละรอบ มักจะลดลงเมื่อเทียบกับรอบก่อนหน้า เนื่องจากเมื่อสินทรัพย์มีอายุมากขึ้น จำเป็นต้องใช้สภาพคล่องมากขึ้นเพื่อให้ราคาเพิ่มขึ้น
- ที่มา : banklesstimes
- ที่มารูปภาพ : forbesindia