ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คริปโตเคอร์เรนซี่ได้กลายเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่ในขณะเดียวกัน กลโกงการลงทุนในรูปแบบแชร์ลูกโซ่หรือปีรามิดก็ได้เข้ามาก่อกวนวงการนี้อย่างหนัก โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโตมาเป็นเครื่องมือในการหลอกลวง การสัญญาผลตอบแทนสูงเกินจริงและการหลอกลวงนักลงทุนจำนวนมากเป็นสิ่งที่พบได้บ่อย มาดูกันว่ามีกรณีแชร์ลูกโซ่คริปโตไหนบ้างที่สร้างความเสียหายมหาศาลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
BitConnect (2016-2018)
BitConnect เปิดตัวในปี 2016 โดยอ้างว่าเป็นแพลตฟอร์มการลงทุน Bitcoin ที่ใช้ AI trading bot เพื่อทำกำไรจากการซื้อขายเหรียญ Bitcoin นักลงทุนนับล้านคนถูกล่อด้วยผลตอบแทนที่สูงถึง 1% ต่อวัน ความนิยมของ BitConnect พุ่งสูงสุดในปี 2017 โดยเหรียญ BitConnect Coin (BCC) มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ในปี 2018 หน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความโปร่งใสของโปรเจกต์ BitConnect ปิดตัวลงอย่างกะทันหัน และนักลงทุนสูญเสียเงินรวมประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์
OneCoin (2014-2017)
OneCoin ก่อตั้งโดย Dr. Ruja Ignatova ในปี 2014 โดยอ้างว่าจะเป็น “Bitcoin ตัวต่อไป” แต่แท้จริงแล้ว OneCoin ไม่มีบล็อกเชนที่รองรับอยู่เบื้องหลัง โปรเจกต์นี้ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบเครือข่าย (MLM) โดยชักชวนผู้คนเข้าร่วมผ่านการซื้อแพ็คเกจการศึกษา เมื่อโปรเจกต์ขยายตัว OneCoin ได้หลอกลวงผู้คนกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ ก่อนที่ Dr. Ruja จะหายตัวไปในปี 2017 และทิ้งโปรเจกต์ที่กลายเป็นหนึ่งในแชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไว้เบื้องหลัง
PlusToken (2018-2019)
PlusToken เปิดตัวในปี 2018 โดยอ้างว่าเป็นกระเป๋าเงินคริปโตที่ให้ผลตอบแทนสูงจากการถือครองและการเทรดเหรียญคริปโต ความนิยมของ PlusToken ขยายตัวอย่างรวดเร็วในเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศจีน ด้วยคำสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงถึง 10-30% ต่อเดือน แต่ในปี 2019 โปรเจกต์นี้ได้ปิดตัวและเหรียญคริปโตมูลค่ากว่า 3 พันล้านดอลลาร์ถูกขโมยไป นักลงทุนจำนวนมากต่างสูญเสียเงินและความเชื่อมั่นในวงการคริปโตอย่างรุนแรง
HashBX (2016-2017)
HashBX เป็นแพลตฟอร์มขุดเหรียญคริปโตที่ก่อตั้งในประเทศไทย โดยอ้างว่าจะสร้างศูนย์ขุด Bitcoin ที่ทันสมัยในประเทศ ผู้ลงทุนต้องซื้อแพ็คเกจขุดเหรียญเพื่อได้รับผลตอบแทน แต่ในปี 2017 โปรเจกต์เริ่มมีปัญหาด้านการจ่ายผลตอบแทน และมีข่าวว่าไม่มีการขุดเหรียญจริง ทำให้ HashBX ถูกมองว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ นักลงทุนในไทยและภูมิภาคอื่นสูญเสียเงินจำนวนมาก
4. โปรเจกต์ ICO (Initial Coin Offering) – 2017-2018
ในช่วงปี 2017 ความนิยมของ ICO (Initial Coin Offering) เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยโปรเจกต์เหล่านี้เปิดตัวเหรียญคริปโตใหม่เพื่อระดมทุน แต่หลาย ICO กลายเป็นแชร์ลูกโซ่ที่หลอกลวง ยกตัวอย่างเช่นโปรเจกต์ดัง ๆ อย่าง Pincoin และ AriseBank ที่ระดมทุนได้หลายร้อยล้านดอลลาร์ก่อนจะล้มลงและหายไปพร้อมกับเงินของนักลงทุน ในช่วงปี 2018 หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกเริ่มเข้มงวดขึ้น ทำให้โปรเจกต์ ICO หลอกลวงลดน้อยลง
Mirror Trading International (MTI) – 2019-2020
Mirror Trading International (MTI) ก่อตั้งในแอฟริกาใต้ในปี 2019 อ้างว่าจะให้ผลตอบแทนจากการลงทุน Bitcoin ผ่านการเทรดด้วยหุ่นยนต์ นักลงทุนทั่วโลกถูกหลอกลวงให้ฝาก Bitcoin เข้าระบบ โดยเชื่อว่าหุ่นยนต์จะช่วยสร้างกำไรให้กับพวกเขา แต่ในปี 2020 MTI ล้มลงเมื่อ Johan Steynberg ผู้ก่อตั้งโปรเจกต์หายตัวไปพร้อมกับ Bitcoin จำนวนมากที่มีมูลค่ารวมกว่า 1 พันล้านดอลลาร์
WOToken (2018-2020)
WOToken เป็นแชร์ลูกโซ่คริปโตจากจีน ที่หลอกลวงผู้คนกว่า 700,000 คน โดยอ้างว่าให้ผลตอบแทนจากการใช้ AI เทรดเหรียญคริปโต แต่โปรเจกต์นี้ไม่มีการเทรดจริงแต่อย่างใด ในปี 2020 ผู้ก่อตั้ง WOToken ถูกจับกุมหลังจากโปรเจกต์นี้สร้างความเสียหายถึง 1 พันล้านดอลลาร์
AirBit Club (2015-2020)
AirBit Club เป็นแชร์ลูกโซ่คริปโตที่ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบเครือข่าย (MLM) หลอกลวงผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะในอเมริกาใต้ ผู้เข้าร่วมจะได้รับผลตอบแทนจากการชักชวนคนใหม่เข้าร่วมระบบ แต่ในปี 2020 โปรเจกต์ล้มลงและผู้ก่อตั้งถูกจับกุม AirBit Club หลอกลวงผู้ลงทุนเป็นเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์
บทเรียนจากการหลอกลวง
แชร์ลูกโซ่คริปโตยังคงเป็นภัยทางการเงินที่คอยหลอกหลอนวงการนี้อยู่ไม่ว่าจะกี่ปี หลายโปรเจกต์มักจะชูเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง AI หรือการขุดเหรียญเป็นเครื่องมือในการหลอกลวง การสัญญาผลตอบแทนสูงเกินจริงเป็นสัญญาณที่ควรระวังอย่างยิ่งสิ่งสำคัญที่นักลงทุนทุกคนควรคำนึงถึงคือการศึกษาและทำความเข้าใจก่อนการลงทุน รวมถึงตรวจสอบโปรเจกต์จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ การป้องกันตัวเองจากการตกเป็นเหยื่อแชร์ลูกโซ่คริปโตเป็นเรื่องที่ต้องมีความรอบคอบอย่างมาก เนื่องจากโลกคริปโตยังคงเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง