Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ได้ออกมาเปิดเผยการอัปเกรดครั้งต่อไปของเครือข่ายที่ใช้ชื่อว่า “The Verge” ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ความสามารถในการเข้าถึงเครือข่าย และทำให้ผู้ใช้งานสามารถรัน Node บนอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น โทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทวอทช์ได้
โดย The Verge จะมุ่งเน้นไปที่การลดความต้องการด้านฮาร์ดแวร์ด้วยการใช้เทคนิคที่เรียกว่า “stateless verification” ที่จะช่วยให้ Node สามารถยืนยันบล็อกของบล็อกเชนได้โดยไม่ต้องเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ เพราะในปัจจุบัน การรัน Node บน Ethereum ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่หลายร้อยกิกะไบต์ซึ่งเป็นหนึ่งในความท้าทายที่เครือข่ายต้องเผชิญ
และด้วยความสามารถของ stateless verification ทำให้การตรวจสอบบล็อกเชนกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นและมีต้นทุนในการคำนวณต่ำมากพอที่แม้แต่อุปกรณ์มือถือ Crypto wallet ในเบราว์เซอร์ หรือแม้แต่สมาร์ทวอทช์ก็สามารถรัน Node ได้โดยอัตโนมัติ
ซึ่งการเปลี่ยนไปใช้ stateless verification จะช่วยให้ Node ไม่จำเป็นต้องเก็บข้อมูลทั้งบล็อกเชน ซึ่งจะช่วยลดข้อจำกัดทางเทคนิคสำหรับผู้ใช้งาน รวมถึงผู้ที่ต้องการ staking ด้วยตนเอง
ในบล็อกโพสต์ของ Buterin เขาได้อธิบายว่าในช่วงเริ่มต้น The Verge จะมุ่งเน้นการใช้ Verkle trees ซึ่งเป็นโครงสร้างการเข้ารหัสที่ช่วยลดขนาดการยืนยันและช่วยให้การตรวจสอบแบบ stateless เป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้ยอมรับถึงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของ Verkle trees ต่อคอมพิวเตอร์ควอนตัม
“Verkle trees มีความเสี่ยงต่อคอมพิวเตอร์ควอนตัม ดังนั้นหากเราเปลี่ยนจาก KECCAK Merkle Patricia tree ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันไปเป็น Verkle trees ในอนาคตเราก็อาจจะต้องเปลี่ยนไปใช้อื่นอีกครั้ง”
โดยในตอนนี้ผู้พัฒนากำลังพิจารณาการใช้ Scalable Transparent Arguments of Knowledge (STARK)-based binary hash trees ซึ่งคาดว่าจะมีความปลอดภัยและสามารถขยายตัวได้ดีกว่าเมื่อเผชิญกับภัยคุกคามจากคอมพิวเตอร์ควอนตัม
นอกจากนี้ The Verge ยังมีการเสนอการเปลี่ยนแปลงระบบการคำนวณค่าแก๊สบนเครือข่ายตาม Ethereum Improvement Proposal (EIP)-4762 เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการตรวจสอบแบบ stateless โดยมีการปรับโครงสร้างการคิดค่าแก๊สใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานทรัพยากรที่หลากหลาย
และทาง Buterin หวังว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ จะทำให้การ staking ด้วยตนเองเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและลดความซับซ้อนในการใช้งานเครือข่าย Ethereum
ที่มา: Cointelegraph