<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

รู้จักกับ James Fickel ชายผู้ซื้อ Ethereum ที่ราคา 28 บาท ก่อนพลิกโฉมวิทยาศาสตร์สมองและการยืดอายุชีวิต

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในช่วงต้นเดือนเมษายน เจมส์ ฟิคเคิล (James Fickel) เดินทางโดยรถไฟ จากบอสตัน  (Boston) ไปยังนิวเฮเวน (New Haven) รัฐคอนเนตทิคัต (Connecticut) เพื่อตรวจสอบสมองบางส่วน สมองเหล่านี้เคยอยู่ในกะโหลกของหมู แต่ปัจจุบันถูกเก็บไว้ในภาชนะหลายใบ ภายในอาคารที่ขอบมหาวิทยาลัยเยล โดยเชื่อมต่อกับท่อและเครื่องจักรที่ป้อนของเหลวที่อุดมไปด้วยสารอาหาร นักวิจัยใฝ่ฝันมานานที่จะศึกษาสมองที่ยังคงทำงานได้ภายนอกร่างกาย และการติดตั้งนี้ทำให้วิสัยทัศน์เหล่านั้นเป็นจริง

งานวิจัยด้านสมองนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อหลายปีก่อน โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวโครเอเชียชื่อ  Nenad Sestan และ Zvonimir Vrselja ซึ่งสร้างความฮือฮาในปี 2019  ด้วยการประกาศว่า พวกเขาสามารถฟื้นฟูการทำงานของเซลล์ในสมองหมูได้เป็นเวลา 4 ชั่วโมง หลังจากที่สัตว์ถูกฆ่าในโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ 

นับตั้งแต่นั้นมา วิทยาศาสตร์ก็ได้เปลี่ยนจากโครงการวิจัย ไปสู่พื้นฐานของบริษัทสตาร์ทอัพที่ชื่อ Bexorg Inc. โดยบริษัทหวังว่า เทคโนโลยีของพวกเขา ซึ่งใช้กับสมองมนุษย์ที่รับบริจาค จะนำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับชีววิทยาของสมอง การค้นพบยาที่ดีขึ้น รวมถึงเทคนิคการฟื้นฟูแบบนิยายวิทยาศาสตร์ สำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง James Fickel ทำให้สิ่งนี้เป็นไปได้ ในฐานะนักลงทุนรายแรก ๆ

การเข้าร่วมของ James Fickel กับ Bexorg เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงอาชีพที่ไม่น่าเป็นไปได้ หลังจากการทุ่มเงินลงทุนครั้งใหญ่กับสกุลเงินดิจิทัล เขาก็ได้กลายเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนรายใหญ่ที่สุดของโลกในด้านวิทยาศาสตร์การยืดอายุขัยและการวิจัยสมองขั้นสูงอย่างเงียบ ๆ 

 James Fickel  ได้ลงทุนเงินมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์ในบริษัทสตาร์ทอัพ และห้องปฏิบัติการวิจัยของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หลายแห่ง โดยมีเป้าหมายเพื่อยืดอายุขัยที่แข็งแรงของมนุษย์ ในขณะเดียวกัน ก็เตรียมคนสำหรับการอยู่ร่วมกันกับปัญญาประดิษฐ์ AI เขามักลงทุนร่วมกับนักการกุศลชื่อดังที่มีทุนทรัพย์มาก เช่น Bill Gates และ  Eric Schmidt นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดถึงงานของเขาในสาขานี้ ต่อสาธารณะ

จากนักพัฒนาซอฟต์แวร์สู่มหาเศรษฐี คริปโต

เส้นทางที่ไม่ธรรมดาของ Fickel เริ่มต้นขึ้นในปี 2016 เมื่อเขาอายุเพียง 25 ปี โดยเขานำเงินจำนวน $400,000 ที่เขาหามาได้จากการทำงานเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์และการซื้อขายหุ้น มาลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลเกิดใหม่ที่เรียกว่า Ethereum (ETH) ในขณะนั้น ETH ยังเป็นโทเค็นที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก และซื้อขายอยู่ที่ราคาประมาณ 80 เซนต์ ประมาณ 27.88 บาท ปัจจุบัน ETH กลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์คริปโตที่มีชื่อเสียงที่สุด โดยมีมูลค่าที่มีการซื้อขายอยู่ที่มากกว่า $2,800 ต่อโทเค็น ส่งผลให้ Fickel กลายเป็นเศรษฐีผู้มีทรัพย์สินมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์

เศรษฐีคริปโตมักเป็นที่รู้จักจากการใช้ชีวิตหรูหราในเขตปลอดภาษีและการไล่ตามกระแสการลงทุนใหม่ๆ สำหรับ Fickel การปรากฏตัวในสื่อกระแสหลักครั้งเดียวก่อนหน้านี้เกิดขึ้นในปี 2018 เมื่อ New York Times ลงบทความเกี่ยวกับเขาในชื่อ “Everyone Is Getting Hilariously Rich and You’re Not” พร้อมภาพถ่ายของเขาคู่กับแมวชื่อ Mr. Bigglesworth ในบทความนั้น เขาถูกนำเสนอในฐานะผู้เผยแพร่แนวคิดของการใช้เงินดิจิทัลที่เข้าถึงได้สำหรับคนทั่วไป โดยบทความยังเล่าถึงเหตุการณ์ที่ผู้ฝึกสอนส่วนตัวของเขาสร้างความมั่งคั่งได้จากการทำตามคำแนะนำด้านการซื้อขายของเขาอีกด้วย

การผันจากวงการคริปโตเข้าสู่การลงทุนในวิทยาศาสตร์

เมื่อโควิด-19 เริ่มระบาด James Fickel เริ่มเบื่อหน่ายกับวงการคริปโต เขาจึงย้ายจากซานฟรานซิสโกไปยังออสติน เท็กซัส ในปี 2020 เพื่อหาสถานที่ที่สบายกว่าในการอาศัยอยู่ระหว่างการระบาดครั้งใหญ่ และเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีเงินได้ของรัฐ 

James Fickel กล่าวว่า “ผมตัดสินใจที่จะบวช เป็นพระสงฆ์สักพัก และอ่านหนังสือจำนวนมาก ๆ ผมอยู่ในวงการคริปโตมานาน และต้องการคิดถึงอะไรที่แตกต่างออกไป”

ในเท็กซัส James Fickel อ่านเกี่ยวกับงานของกูรูด้านการยืดอายุขัย เช่น Nir Barzilai  และ Aubrey de Grey จากนั้นจึงหันไปอ่านตำราวิทยาศาสตร์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แล้วพบนักวิจัยที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งดูเหมือนจะเชื่อมั่นว่า การค้นพบครั้งสำคัญด้านการยืดอายุขัยกำลังจะเกิดขึ้น

สิ่งนี้ ทำให้ James Fickel รู้สึกสนใจ มากกว่าสิ่งที่นักลงทุนคริปโตหลายคนหมกมุ่นอยู่ในขณะนั้น อย่าง โทเค็น NFT ซึ่ง James Fickel  คิดว่าเป็นเรื่องน่าขัน 

เขาจึงตัดสินใจที่จะผันตัวไปเป็นนักลงทุนและนักการกุศล โดยเริ่มส่งอีเมลถึงผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ เพื่อแนะนำตัวเอง และดูว่า ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการจัดสรรเงินทุนอย่างไร

การก่อตั้งมูลนิธิ Amaranth และการลงทุนในสตาร์ทอัพด้านวิทยาศาสตร์

ภายในปี 2021 James Fickel ตัดสินใจที่จะลงทุนและทำงานการกุศลอย่างเป็นทางการมากขึ้น เขาก่อตั้งมูลนิธิ Amaranth และเลือก Alex Colville  ซึ่งขณะนั้นเป็นนักศึกษาที่กำลังจะจบปริญญาเอกด้านพันธุศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มาเป็นหุ้นส่วนการลงทุนหลักของเขา 

ทั้งสองร่วมกัน สัมภาษณ์นักวิจัยและสตาร์ทอัพหลายสิบราย และอ่านบทความจำนวนมาก แม้ว่า  James Fickel จะไม่มีพื้นฐานทางวิชาการ แต่ James Fickel เป็นคนที่เรียนรู้ได้เร็ว ไม่นานเขาก็สามารถสนทนากับนักวิทยาศาสตร์ได้ดี จึงพอที่จะช่วยประเมินว่าผลงานของใครมีศักยภาพมากที่สุด

ในช่วง 18 เดือนแรกของ Amaranth บริษัทของ James Fickel  ได้จ่ายเงินไป 100 ล้านดอลลาร์ โดย 70% มอบให้กับบริษัทสตาร์ทอัพ และส่วนที่เหลือ มอบให้กับโปรเจกต์วิจัยสุดท้าทายของมหาวิทยาลัย 

โดยรวมแล้ว James Fickel  ได้สนับสนุนบริษัทและกลุ่มวิจัยไปประมาณ 30 แห่ง การลงทุนชุดแรกของJames Fickel ได้แก่ Cellular Longevity Inc. ซึ่งได้ผลิตยาที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้สุนัขมีอายุยืนยาว 

โดย Cyclarity Therapeutics Inc. กำลังทำงานเกี่ยวกับการบำบัด เพื่อย้อนกลับการสะสมของคราบพลัดในหลอดเลือดแดง และป้องกันการเกิดหัวใจวายและ LIfT BioSciences กำลังทำงานเพื่อพัฒนาเซลล์ชนิดใหม่ ที่สามารถทำลายเนื้องอกมะเร็งได้ 

ปัจจุบันเขาเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ที่สุดของ age1 ซึ่งเป็นกองทุนร่วมลงทุนที่มุ่งเน้นด้านการยืดอายุขัย ก่อตั้งโดย Colville และ Laura Deming นักลงทุนที่มีชื่อเสียงในวงการนี้

การขยายการลงทุนสู่วิทยาศาสตร์สมองขั้นสูง

ในช่วงแรก มูลนิธิ Amaranth ได้มอบทุนให้กับผู้ที่มีผลงานดีเด่นในด้านโรคอัลไซเมอร์และสุขภาพจิต และจากนั้นได้ขยายลึกเข้าไปในวิทยาศาสตร์สมอง นอกเหนือจาก Bexorg แล้ว James Fickel ยังได้ให้ทุนแก่ E11 Bio ซึ่งเป็นองค์กรที่พัฒนาเทคนิคการทำแผนที่สมองแบบใหม่ และให้ทุนแก่ Forest Neurotech ซึ่งผลิตอุปกรณ์ปลูกถ่ายในสมองที่ปล่อยคลื่นอัลตราซาวด์ เพื่อศึกษาสาเหตุของปัญหาทางสุขภาพจิต และภาวะทางระบบประสาท 

หนึ่งในการลงทุนล่าสุดคือ การลงทุน 30 ล้านดอลลาร์ในโครงการลับที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดชื่อ โปรเจกต์ Enigma  ซึ่งกำลังสร้างแบบจำลองโครงสร้างสมองที่ทะเยอทะยาน และให้รายละเอียดว่า เซลล์ประสาทแต่ละเซลล์ทำงานอย่างไรทั่วทั้งจิตใจ

James Fickel กล่าวว่า ส่วนหนึ่งของความสนใจของเขาในโปรเจกต์ Enigma คือศักยภาพในการสร้างตัวแทนดิจิทัลของสมอง ซึ่งอาจช่วยในการฝึกระบบ AI เมื่อมีคนสร้างความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เกี่ยวกับกลไกของสมองมนุษย์แล้ว พวกเขาสามารถใช้ความรู้นั้นเพื่อสร้างสมองสังเคราะห์ในรูปแบบดิจิทัล และใช้ข้อมูลที่เชื่อมโยงกับสมองร่วมกับโมเดล AI เพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นว่าจิตใจของเราทำงานอย่างไร หากโชคดี สิ่งนี้อาจนำไปสู่การผสมผสานที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น ระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรในปีต่อ ๆ ไป

ที่มา : bnnbloomberg