ผู้พิพากษาจีนชี้แจงสถานะทางกฎหมายของคริปโทเคอร์เรนซี ย้ำ “บุคคลธรรมดาถือครองได้ แต่นิติบุคคลห้ามซื้อขายหรือออกโทเค็น”
ผู้พิพากษาศาลประชาชนเขตซ่งเจียงในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ได้เผยแพร่บทความบนบัญชี WeChat ของศาล เกี่ยวกับความถูกต้องตามกฎหมายของการออกสกุลเงินดิจิทัลในประเทศจีน โดยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อพิพาททางธุรกิจตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งให้ความกระจ่างเกี่ยวกับสถานะทางกฎหมายที่คลุมเครือของคริปโทเคอร์เรนซีในประเทศจีน
สินค้าเสมือนที่มีคุณสมบัติเป็นทรัพย์สิน
บริษัทพัฒนาการเกษตรได้ลงนามใน “ข้อตกลงการบ่มเพาะบล็อกเชน” กับบริษัทจัดการการลงทุน เพื่อจัดทำ Whitepaper สำหรับการออกคริปโทเคอร์เรนซี โดยจ่ายเงิน 300,000 หยวน (ประมาณ 44,400 ดอลลาร์ในขณะนั้น) สำหรับบริการนี้
หนึ่งปีต่อมา ยังไม่มีการผลิตโทเค็น และบริษัทลงทุนกล่าวว่า บริษัทเกษตรควรพัฒนาแอปพลิเคชันก่อนจึงจะสามารถออกโทเค็นได้ แต่บริษัทเกษตรกลับฟ้องร้องเพื่อเรียกคืนเงินที่จ่ายไป
ศาลตัดสินว่าข้อตกลงระหว่างบริษัทเป็นการวางแผนการดำเนินกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีความผิด และสั่งให้บริษัทลงทุนคืนเงิน 250,000 หยวน
ผู้พิพากษาซุนเจี๋ย เขียนว่า สกุลเงินดิจิทัลไม่มีสถานะเป็นสกุลเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย แต่เป็นสินค้าเสมือนที่มี “คุณสมบัติเป็นทรัพย์สิน” เธอกล่าวว่า:
“แม้ว่าการที่บุคคลธรรมดาจะถือครองสกุลเงินดิจิทัลจะไม่ผิดกฎหมาย แต่นิติบุคคลไม่สามารถเข้าร่วมในการทำธุรกรรมลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล หรือแม้แต่การออกโทเค็นด้วยตนเองได้”
คริปโทถูกแบนในจีนแค่ไหน?
ผู้พิพากษายังได้เตือนถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากคริปโทเคอร์เรนซี ตัวอย่างเช่น:
“กิจกรรมการเก็งกำไรจากการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin ไม่เพียงแต่จะรบกวนระเบียบเศรษฐกิจและการเงินเท่านั้น แต่อาจกลายเป็นเครื่องมือในการชำระเงินสำหรับกิจกรรมที่ผิดกฎหมายและอาชญากรรม ก่อให้เกิดการฟอกเงิน การระดมทุนที่ผิดกฎหมาย การฉ้อโกง แชร์ลูกโซ่ และกิจกรรมที่ผิดกฎหมายและอาชญากรรมอื่นๆ”
ผู้พิพากษาสรุปว่า “การเข้าร่วมธุรกรรมสกุลเงินดิจิทัลโดยไม่ไตร่ตรอง” อาจทำให้บุคคลและองค์กรไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเต็มที่ บทความนี้กล่าวถึงมาตรา 153 ของประมวลกฎหมายแพ่งแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เนื่องจากเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคดี
จีนสั่งปิดแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลในปี 2017 ในปี 2021 ธนาคารประชาชนจีนและหน่วยงานรัฐบาลจีน 10 แห่ง ได้ร่วมมือกันเพื่อควบคุมการทำธุรกรรมด้วยสกุลเงินดิจิทัลให้เข้มงวดขึ้น อย่างไรก็ตาม การเป็นเจ้าของคริปโตไม่เคยถูกห้าม
ที่มา: cointelegraph