วันนี้ (27 ธ.ค.) ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของตลาดคริปโตเคอร์เรนซี เนื่องจากมีสัญญาออปชัน Bitcoin และ Ethereum มูลค่ากว่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ กำลังจะหมดอายุลง ซึ่งเป็นการหมดอายุครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา เหตุการณ์นี้อาจนำไปสู่ความผันผวนแบบที่คาดไม่ถึง หรือโอกาสสำคัญสำหรับนักเทรดและนักลงทุน
สำหรับ Bitcoin มูลค่ารวมของออปชันที่กำลังจะหมดอายุวันนี้อยู่ที่ประมาณ 1.43 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ Ethereum มีมูลค่ารวมประมาณ 3.7 พันล้านดอลลาร์
จะเห็นได้ว่า อัตราส่วน put-to-call (P/C) ของ Bitcoin อยู่ที่ 0.69 แสดงถึงความเชื่อมั่นในทิศทางบวก เนื่องจากนักเทรดส่วนใหญ่เดิมพันว่า ราคาจะเพิ่มขึ้น ส่วน Ethereum อัตราส่วนดังกล่าวลดลงเหลือ 0.41 ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจที่มากยิ่งขึ้นในราคาของ ETH ที่จะเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ อัตราส่วน P/C ที่ต่ำแสดงให้เห็นว่า มีการซื้อออปชันแบบ Call (เดิมพันว่าราคาจะเพิ่มขึ้น) มากกว่าออปชันแบบ Put (เดิมพันว่าราคาจะลดลง)
ปัจจุบัน ทั้ง BTC และ ETH มีราคาซื้อขายที่สูงกว่าราคาสูงสุดที่เรียกว่า “Maximum Pain Price” ซึ่งหมายถึงระดับราคาที่ผู้ซื้อออปชันจะขาดทุนมากที่สุดเมื่อสัญญาหมดอายุ โดยสำหรับ Bitcoin ราคาดังกล่าวอยู่ที่ 85,000 ดอลลาร์ และสำหรับ Ethereum อยู่ที่ 3,000 ดอลลาร์
David Lawant หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ FalconX อธิบายว่า ความต้องการป้องกันความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้อัตราส่วน P/C ของ Bitcoin สูงขึ้นในช่วงปลายปี 2024 เขาชี้ว่า “นักเทรดเริ่มต้องการป้องกันความเสี่ยงในตลาดขาลงมากขึ้น” เพื่อล็อกผลกำไรในช่วงสิ้นปี
ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา อัตราส่วน P/C ของ Bitcoin สำหรับออปชันที่จะหมดอายุวันที่ 27 ธันวาคม อยู่ที่ 0.35 แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 0.70 แสดงถึงการเตรียมตัวรับมือกับความเสี่ยงที่มากขึ้นในตลาดปัจจุบัน
ความเชื่อมั่นใน Ethereum มีแนวโน้มตรงข้ามกับ Bitcoin โดยอัตราส่วน P/C ของ ETH ลดลงอย่างรวดเร็วจาก 0.97 เมื่อปลายเดือนตุลาคม เหลือเพียง 0.41 ในปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า นักเทรดมีความมั่นใจมากขึ้นว่า ETH จะสามารถรักษามูลค่าหรือเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในทิศทางขาขึ้นอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ตลาดคริปโตกำลังจับตาดูความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากการหมดอายุของสัญญาครั้งประวัติศาสตร์ในวันนี้ นักลงทุนควรเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง เนื่องจาก นักวิเคราะห์มองว่า เหตุการณ์นี้อาจส่งผลสำคัญต่อทิศทางตลาดในปี 2025
ที่มา:coinpaprika