<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

‘ท๊อป จิรายุส’ ชี้อนาคตการศึกษาจะถูกเปลี่ยนยกแผง ! AI มาแน่ ประเทศไทยต้องมี 3 สิ่งนี้

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในเวที World Economic Forum 2025 ที่เพิ่งผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะถาโถมเข้าสู่โลกของเราจากการมาถึงของ AI รวมถึงระบบการศึกษาที่ต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน 

“อีก 5 ปีข้างหน้า 39% ของความสามารถในการทำงานของพวกเราจะถูกแทนที่ด้วย AI !” นี่คือคำบอกเล่าอันน่าตกใจของ ‘ท๊อป จิรายุส’ ผู้ก่อตั้ง Bitkub 

คุณท๊อปชี้ให้เห็นว่า ปัญหาที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ ไม่ใช่แค่ประเทศไทย คือการที่เทคโนโลยีเข้ามาทำงานแทนคนได้ในหลากหลายมิติ จนทำให้ระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม (Traditional Education) ไม่สามารถผลิตนักศึกษาที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานได้ 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคอาเซียนที่ประสิทธิภาพการทำงาน (Productivity) กลับลดลงจาก 0.27% เหลือเพียง 0.20% เท่านั้น นั่นหมายความว่า นักศึกษาที่จบออกมาอาจไม่ตรงสาย หรือยังขาดทักษะที่จำเป็น ทำให้ไม่สามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนได้ ต่างจากประเทศที่เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมอย่างสหรัฐอเมริกา ที่มีประสิทธิภาพการทำงานสูงและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ คุณท๊อป ยังเล่าว่า เวที World Economic Forum 2025 ได้เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของ AI ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของการศึกษาอย่างมาก 

โดยปัญหาใหญ่ที่วงการการศึกษาทั่วโลกเผชิญมาโดยตลอดคือ “2-sigma problem” หรือความท้าทายในการยกระดับคุณภาพการสอนให้มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง โดยในทุกๆ ปี สถาบันการศึกษาต่างๆ จะผลิตนักศึกษาออกมาตามลักษณะของ Normal Distribution Curve หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ “กราฟโค้งระฆังคว่ำ” ซึ่งหมายความว่า นักเรียนส่วนใหญ่ประมาณ 90% จะอยู่ในระดับค่าเฉลี่ย ในขณะที่มีเพียงส่วนน้อย (ฝั่งละ 5%) ที่อยู่ในกลุ่มที่มีปัญหามากที่สุด (ซ้าย) และกลุ่มที่ยอดเยี่ยมที่สุด (ขวา)

ความท้าทายของ 2-sigma problem คือ ทำอย่างไรให้เราสามารถยกระดับกลุ่มนักเรียนส่วนใหญ่ที่อยู่ในระดับค่าเฉลี่ย ให้ก้าวขึ้นไปอยู่ในกลุ่มที่ยอดเยี่ยมได้ และในขณะเดียวกัน ก็ช่วยพัฒนาศักยภาพของกลุ่มนักเรียนที่มีปัญหาให้สามารถก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยได้ 

คุณท๊อปอธิบายว่า วิธีเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้ในทางทฤษฎี คือการมีอาจารย์ 1 คน ต่อ นักเรียน 1 คน แต่นั่นคือสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริง ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณ ปัจจุบัน เราจึงเห็นภาพที่อาจารย์ 1 คน ต้องดูแลนักเรียนหลายสิบ หรือหลายร้อยคนในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสถาบันชั้นนำอย่าง Oxford หรือ Cambridge ที่มีจุดขายคือการออกแบบระบบการสอนแบบ อาจารย์ 1 คน ต่อ นักเรียน 1 คน 

แล้วทางออกอยู่ไหน ?

คุณท๊อปกล่าวว่า “AI นี่แหละครับ คือคำตอบ” ด้วยศักยภาพของ AI ที่จะเข้ามาเป็นติวเตอร์ส่วนตัวให้กับนักเรียนแต่ละคน ทำให้การสอนแบบ “อาจารย์ 1 คน ต่อ นักเรียน 1 คน” กลายเป็นความจริงได้ โดยที่ไม่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล AI จะสามารถปรับเนื้อหาการสอนให้เหมาะสมกับพื้นฐานและความต้องการของนักเรียนแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ

ดังนั้น การเข้ามาของ AI จะพลิกโฉมระบบการศึกษาไปอย่างสิ้นเชิง และเพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวทันต่ออนาคตที่กำลังจะมาถึง คุณท๊อปได้เน้นย้ำถึง 3 สิ่งสำคัญที่เราต้องมี

3 สิ่งที่ประเทศไทยต้องมี !

คุณท๊อปชี้ว่า สิ่งแรก (1) คือ อินเทอร์เน็ตฟรีที่ทุกคนเข้าถึงได้ คุณท๊อปเปรียบเทียบอินเทอร์เน็ตในยุคนี้ว่า “ต้องเป็นเหมือนแสงไฟส่องถนน ที่ทุกคนสามารถใช้งานได้ฟรีโดยไม่มีข้อจำกัด” เพราะความรู้และโอกาสมากมายอยู่ในโลกออนไลน์ การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตจึงเป็นประตูสำคัญสู่การเรียนรู้และพัฒนาตนเอง

ต่อมา (2)คือ การระบุตัวตนแบบดิจิทัลที่เชื่อถือได้ เนื่องจากการมีระบบยืนยันตัวตนนักเรียนแบบออนไลน์ที่ปลอดภัยและใช้งานได้จากทุกที่ จะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการจัดการการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล และการเข้าถึงแพลตฟอร์มการศึกษาต่างๆ

และสุดท้าย (3) แพลตฟอร์มการศึกษาแบบเปิดที่ยืดหยุ่น ระบบการศึกษาในอนาคตต้องสามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหาและวิธีการสอนให้เข้ากับพื้นฐานและความแตกต่างของนักเรียนแต่ละคนได้อย่างแท้จริง แพลตฟอร์มแบบเปิดจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะมาถึง และประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเข้ามาของ AI ในระบบการศึกษา การมีอินเทอร์เน็ตฟรี การระบุตัวตนดิจิทัลที่แข็งแกร่ง และแพลตฟอร์มการศึกษาที่ยืดหยุ่น จะเป็น 3 เสาหลักสำคัญที่จะช่วยให้เยาวชนไทยก้าวทันโลกอนาคต และสร้างโอกาสในการแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน