<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ย้อนรอย 3 เหรียญคริปโทฯ ที่เคยถูกบูลลี่หนัก แต่วันนี้กลับมาฟื้นตัวราวปาฎิหารย์!

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในโลกคริปโทฯ ที่ความเชื่อมั่นอาจพังทลายได้เพียงชั่วข้ามคืน เหรียญบางตัวก็เคยถูกวิจารณ์ ถูกตั้งคำถาม หรือแม้แต่โดนตราหน้าว่า “จบแล้ว” แต่สุดท้ายกลับพลิกเกม ฟื้นตัวกลับมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

บทความนี้จะพาทุกคนย้อนกลับไปดู 3 เหรียญคริปโทฯ เจ้าปัญหาอย่าง Ethereum, Cardano และ XRP ที่เคยเผชิญกับวิกฤติศรัทธาอย่างหนัก ถูกบูลลี่จากทั้งนักลงทุนและนักวิเคราะห์ แต่วันนี้พวกมันกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง พร้อมกับเรียกแรงศรัทธาคืนจากตลาด 

1.Ethereum  (ETH)

หากพูดถึง “Ethereum” ในอดีต ภาพจำของหลายคนคงหนีไม่พ้นการเป็นเครือข่าย Smart Contract อันดับหนึ่งของโลก เป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตของ Decentralized Finance ( DeFi), Non-Fungible Tokens (NFTs) และแอปพลิเคชันกระจายอำนาจ (DApps) นับไม่ถ้วน

ทว่าในช่วงเวลาหนึ่ง เหรียญที่เคยได้รับการยกย่องกลับต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักพัฒนาเริ่มสั่นคลอนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 

หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ราคา Ethereum ร่วงลงอย่างหนัก คือพฤติกรรมการเทขายอย่างต่อเนื่องจากฝั่ง Ethereum Foundation เอง ซึ่งเป็นผู้ถือเหรียญรายใหญ่และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเครือข่าย โดยในช่วงตั้งแต่ต้นปี 2024 เป็นต้นมา มูลนิธิได้ทำการเทขายเหรียญออกไปมากถึง 93,440 ETH คิดเป็นสัดส่วนกว่า 30% ของคลังทั้งหมด ที่มีอยู่ราว 314,000 ETH

นับตั้งต้นต้นปี 2025 ราคาของ Ethereum ได้ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง สร้างความกังวลให้กับผู้ที่ถือครองเป็นอย่างมาก จนทำให้เกิดกระแสดราม่าครั้งใหญ่จากชุมชนของ Ethreum

ปัญหาของ Etheruem สังเกตได้จากจุดสูงสุดที่ ETH เคยทำไว้ที่ $4,891 ในปี 2021 แม้ว่า Bitcoin จะสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ในปี 2025 ที่ $109,000 แต่ Ethereum กลับไม่สามารถส่งราคาขึ้นไปทำลายสถิติเดิมได้ โดยทำได้เพียง $4,125 เท่านั้น ก่อนที่จะปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี

หลังจากที่ตลาดคริปโทฯ เริ่มร่วงหนักจากมาตรการภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ราคา Bitcoin ได้ร่วงลงจาก $100,000 ลงมาต่ำสุดแถว $76,000 และเริ่มมีข่าวออกมาว่า สหรัฐฯ กับจีนเริ่มมีการตกลงกันได้เรื่องมาตรการภาษี ตลาดคริปโทฯ โดยรวมก็เริ่มปรับตัวขึ้น แต่ครั้งนี้มันต่างออกไปตรงที่ Ethereum ดันพุ่งขึ้นมากกว่า Bitcoin 

ในช่วงต้นเดือน เม.ย. 2025 ราคา Ethereum ร่วงลงไปแตะจุดต่ำสุดของปีที่ราว $1,400 หลังจากนั้นพอเข้าสู่เดือน พ.ค. ราคา ETH ก็เริ่มปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว บางวันปรับตัวขึ้นถึง 20% ซึ่งเป็นการปรับตัวที่สูงกว่า Bitcoin ที่ปรับตัวขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันเพียง 10% เท่านั้น 

โดยสรุปแล้ว ในช่วงเดือนที่ผ่านมา Ethereum สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 60% ซึ่งเรื่องนี้ได้สร้างความหวังให้กับชุมชนคริปโทฯ กลับมามีแรงศรัทธาในเหรียญนี้อีกครั้ง 

2. Cardano (ADA)

ถ้ามองย้อนกลับไปช่วงปี 2022–2023 ชื่อของ Cardano (ADA) มักถูกหยิบยกขึ้นมาล้อเลียนในโซเชียลมีเดียอยู่บ่อยครั้ง บ้างก็ว่า “นิ่งเหมือน stablecoin” หรือ “โปรเจกต์วิชาการแต่ไร้กรณีการใช้งานจริง” แม้ว่าเบื้องหลังจะเต็มไปด้วยงานวิจัยระดับสูงและทีมพัฒนาที่จริงจัง แต่ภาพลักษณ์ของ ADA ก็ถูกบดบังด้วยความเชื่องช้าในการนำเทคโนโลยีมาสู่การใช้งานจริง จนทำให้หลายคนมองว่าเหรียญนี้อาจไม่มีวันไล่ทันคู่แข่งในตลาด smart contract อย่าง Ethereum หรือ Solana ได้เลย

อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงในช่วงปลายปี 2024 หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่ง โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาชนะและขึ้นนั่งตำแหน่งอีกครั้ง ความมั่นใจต่อสินทรัพย์ที่มีรากฐานในอเมริกากลับมาอีกครั้ง และแน่นอนว่า Charles Hoskinson ผู้ก่อตั้ง ADA ที่เป็นชาวอเมริกันโดยกำเนิด ก็ได้รับอานิสงส์ทางอ้อมจากกระแสชาตินิยมนี้เช่นกัน

และที่น่าสนใจคือ ADA ถูกจัดรวมอยู่ในพอร์ตสินทรัพย์ดิจิทัลบางส่วนที่ถือครองโดยสถาบันสหรัฐฯ เช่น กลุ่ม United States Digital Asset Stockpile ซึ่งสะท้อนว่า แม้จะเคยถูกมองข้าม แต่ในทางปฏิบัติ ADA ก็ยังเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ ‘รัฐบาลยังถืออยู่’ จากกระบวนการยึดและจัดเก็บในคดีต่าง ๆ ซึ่งสร้างภาพจำใหม่ให้กับเหรียญนี้ในสายตานักลงทุนบางกลุ่ม 

ราคาของ ADA จึงเริ่มขยับขึ้นจากโซน $0.3 ในเดือนพฤศจิกายน 2024 ทะยานไปแตะ $1.3 ภายในเวลาไม่กี่เดือน หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 300% ก่อนจะย่อตัวเล็กน้อยจากความกังวลเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาล่าสุดซื้อขายอยู่ที่ราว $0.8182 (ตาข้อมูลจาก CoinMarketCap)

แม้ยังห่างไกลจากจุดสูงสุดในอดีต แต่การกลับมาครั้งนี้ของ ADA ก็พิสูจน์แล้วว่า เหรียญที่เคยถูกบูลลี่ว่า “นิ่งเหมือน stablecoin” ก็สามารถกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งได้ ในวันที่ตลาดเริ่มมองเห็นคุณค่าที่แท้จริง

3. Ripple (XRP)

ถ้าพูดถึงเหรียญที่มีดราม่ามากที่สุดในวงการคริปโต คงไม่มีใครไม่พูดถึง XRP เหรียญเก่าแก่ที่มีฐานแฟนคลับเหนียวแน่น แต่ในขณะเดียวกันก็ถูก “ล้อ” หนักมาโดยตลอด เพราะแนวคิดรวมศูนย์ของ XRP นั้นแตกต่างจากบล็อกเชนกระแสหลักที่มุ่งเน้นในเรื่องการกระจายอำนาจอย่างสิ้นเชิง

XRP ถูกออกแบบโดย Ripple Labs เพื่อใช้เป็นตัวกลางสำหรับโอนเงินข้ามประเทศ  โดดเด่นเรื่องความเร็วในการประมวลผลและค่าธรรมเนียมต่ำ นั่นทำให้หลายธนาคารทั่วโลกเริ่มนำเทคโนโลยีของ Ripple ไปใช้จริง แต่ในสายตาของเหล่า Bitcoin Maximalists มันคือเหรียญที่ “รวมศูนย์มากเกินไป” และไม่เป็นไปตามอุดมการณ์ของโลกคริปโตแบบกระจายอำนาจ ทำให้ XRP กลายเป็นเหมือน “เด็กนอกวง” ที่ถูกชุมชนคริปโตบางส่วนแซะอยู่เรื่อย ๆ

และแล้วฝันร้ายก็เริ่มต้นขึ้นในเดือนธันวาคม ปี 2020 เมื่อสำนักงาน ก.ล.ต. สหรัฐฯ (SEC) ฟ้อง Ripple Labs ฐานขาย XRP เป็นหลักทรัพย์ที่ไม่ได้รับอนุญาต ส่งผลให้ราคา XRP ร่วงลงอย่างหนัก หลายแพลตฟอร์มหยุดการเทรด และนักลงทุนจำนวนไม่น้อยก็ถอยห่างจากโปรเจกต์นี้

แม้ในปี 2021 ตลาดคริปโตจะกลับมาคึกคัก เหรียญหลักอย่าง Bitcoin และ Ethereum ทะยานทำ All-Time High ใหม่ แต่ XRP กลับวิ่งไม่ขึ้น ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเหมือนนักวิ่งที่ข้อเท้าโดนล่ามไว้ บางช่วงราคาแทบไม่ขยับจนถึงขั้นมีคนตั้งฉายาว่าเป็น “Stablecoin ที่ไม่ได้สมัครใจ”

แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ คอมมูนิตี้ XRP ยังไม่ยอมแพ้ หลายคน HODL มาตลอด 3 ปีเต็ม เฝ้ารอวันที่ Ripple จะเคลียร์คดีกับ SEC ได้สำเร็จ

แล้วจุดเปลี่ยนก็มาถึงในปี 2024 หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมานั่งตำแหน่งอีกครั้ง กระแสที่เป็นมิตรกับอุตสาหกรรมคริปโทฯ ก็เริ่มกลับมา นักวิเคราะห์หลายคนเริ่มคาดการณ์ว่า การเปลี่ยนแปลงท่าทีของรัฐบาลอาจช่วยให้คดี XRP คลี่คลายลงได้ในที่สุด

และมันก็เกิดขึ้นจริง เมื่อศาลตัดสินว่า “การขาย XRP บนตลาดรอง (Secondary Market) ไม่เข้าข่ายหลักทรัพย์” ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของ Ripple และเปิดทางให้การฟื้นตัวเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม