<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เผยเหตุผล! ทำไม Tether ถึงไม่ยอมทำตามกฎ MiCA ของยุโรป

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

MiCA หรือ Markets in Crypto-Assets เป็นกฎระเบียบที่สหภาพยุโรปพยายามใช้ควบคุมตลาดคริปโตอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในส่วนของเหรียญ Stablecoin ซึ่ง Tether ( USDT) เองถือว่าเข้าข่าย “เหรียญสำคัญ” ตามนิยามของกฎนี้

MiCA ได้กำหนดให้ผู้ที่ต้องการออกเหรียญ Stablecoin ในยุโรปจะต้องมีใบอนุญาตสถาบันเงินอิเล็กทรอนิกส์ (EMI) ต้องเก็บเงินสำรองไม่น้อยกว่า 60% ไว้ในธนาคารยุโรป และต้องเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานและเงินสำรองอย่างละเอียด หากไม่ทำตาม ก็จะถูกถอดออกจากกระดานเทรดที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ EU เช่น Binance และ Kraken ที่ได้ถอด USDT ออกจากตลาดยุโรปไปแล้ว

ด้วยข้อกำหนดนี้ แม้ว่า Tether ยังสามารถถูกเก็บหรือโอนไปมาได้ในยุโรป แต่จะไม่สามารถเทรดในแพลตฟอร์มที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ EU ได้

ทาง Paolo Ardoino ซีอีโอคนปัจจุบันของ Tether ออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนว่าพวกเขาไม่ต้องการทำตามกฎ MiCA และชี้ว่ามีหลายประเด็นที่น่ากังวล ทั้งเรื่องความเสี่ยงใหม่ที่อาจเกิดจากการฝากเงินไว้ในธนาคารแบบรวมศูนย์ และความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวจากการผลักดันให้ใช้เงินยูโรดิจิทัลที่รัฐควบคุม

Tether มองว่าเหรียญ USDT ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อชาวยุโรป แต่เพื่อคนในประเทศที่เผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจอย่างบราซิล ตุรกี และไนจีเรีย ที่ต้องการทางเลือกด้านการเงินอย่างเร่งด่วน

ผลจากการที่ Tether ไม่ทำตามกฎ ก็ทำให้แพลตฟอร์มในยุโรปไม่สามารถให้บริการซื้อขาย USDT ได้อีกต่อไป ส่งผลให้ผู้ใช้งานต้องเปลี่ยนไปใช้เหรียญอื่นอย่าง USDC หรือ EURC ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ MiCA แทน ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสภาพคล่องลดลงและตลาดผันผวนมากขึ้นในบางช่วงเวลา

อย่างไรก็ตาม Tether ไม่ได้หนีไปไหน แต่เลือกย้ายฐานไปยังประเทศที่เป็นมิตรกับคริปโตมากกว่า เช่น เอลซัลวาดอร์ ที่ให้ใบอนุญาตผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล และตั้งสำนักงานใหญ่ใหม่ที่นั่น พร้อมใช้กำไรกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 ลงทุนในหลายโครงการนอกเหนือจากคริปโต

และนอกจากคริปโตแล้ว บริษัทยังได้ตั้งกองทุน Tether Evo สำหรับลงทุนด้าน AI รวมถึงเปิดตัวแพลตฟอร์ม Tether AI ที่กระจายศูนย์เต็มรูปแบบ พร้อมขยายการลงทุนในภาคเกษตรกรรม พลังงานหมุนเวียน และสื่อ เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงในระยะยาว

การที่ Tether ปฏิเสธกฎ MiCA จึงไม่ใช่แค่การต่อต้านกฎ แต่เป็นการชี้ให้เห็นถึงความยุ่งเหยิงของกฎระเบียบโลกในตอนนี้ ที่ทำให้บริษัทคริปโตต้องพึ่งพาเกม ‘ย้ายประเทศ’ เพื่อความอยู่รอด และเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า คริปโตยังต้องดิ้นรนเพื่อหาที่ยืนในโลกของกฎหมายที่แตกต่างกันไปตามเขตแดน.

ที่มา: Cointelegraph