ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจสำคัญของโลกยุคใหม่ การแข่งขันของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในแง่ของซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์อีกต่อไป แต่มันยังลุกลามไปถึง “แหล่งพลังงาน” ที่จะมาขับเคลื่อน AI ให้เดินหน้าแบบไม่สะดุด
เมื่อเล็งเห็นถึงความจำเป็นนี้ 3 บริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ได้แก่ Microsoft, Meta และ Amazon จึงเริ่มมองหาคำตอบว่า จะสามารถจัดหาพลังงานไฟฟ้าปริมาณมหาศาลในราคาที่เหมาะสมได้อย่างไร และคำตอบที่พวกเขาพบล้วนเห็นตรงกัน นั่นก็คือ “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์”
ย้อนกลับไปในเดือนกันยายน ปี 2024 Microsoft ได้กลายเป็นบริษัทบิ้กเทคฯ รายแรกที่ลงมืออย่างจริงจัง ด้วยการเซ็นสัญญาระยะยาว 20 ปีกับบริษัท Constellation Energy Corporation เพื่อฟื้นฟูโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Three-Mile Island ที่เคยหยุดดำเนินการ โดยมีเป้าหมายในการนำพลังงานดังกล่าวไปใช้กับระบบ AI และศูนย์ข้อมูล (Data Center) ซึ่งคาดว่าจะกลับมาเปิดใช้งานได้ในปี 2028
ไม่นานหลังจากนั้น ในวันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมา Meta ก็ได้ประกาศข้อตกลงกับ Constellation เช่นกัน โดยจะซื้อไฟฟ้าจำนวน 1.1 กิกะวัตต์ เป็นระยะเวลาถึง 20 ปี เพื่อนำมาใช้กับโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด Amazon ก็ไม่ตกขบวน เมื่อมีรายงานว่า บริษัทได้เซ็นสัญญากับ Talen Energy เพื่อซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จำนวน 1,920 เมกะวัตต์ สำหรับใช้ใน Web Server และ Data Center ของตนเอง ไปจนถึงปี 2042
จากกรณีตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ชัดว่า พลังงานนิวเคลียร์กำลังกลายเป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ของยุค AI โดยเฉพาะเมื่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีต้องการพลังงานที่มั่นคงและมีความต่อเนื่องสูง การลงทุนในพลังงานประเภทนี้จึงได้รับแรงสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและนักการเมืองระดับสูงในสหรัฐฯ
นักการเมืองจำนวนมากชี้ตรงกันว่า สหรัฐฯ ควรเร่งลงทุนใน AI และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในระดับโลก ก่อนที่จะถูกแซงหน้าโดยคู่แข่งจากประเทศอื่น ๆ — สะท้อนถึงมุมมองที่ อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยเน้นย้ำไว้ตั้งแต่ช่วงการหาเสียงว่า “ถ้าอเมริกาไม่เป็นผู้นำ AI เสียเอง วันหนึ่งเราจะต้องกลายเป็นผู้ตามที่ไม่มีสิทธิ์เลือก”
ที่มา : Cointelegraph