ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญหน้ากับความโกลาหลครั้งใหญ่ มีสมรภูมิเกิดขึ้นมากมายทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งยาวนานระหว่างรัสเซียและยูเครน หรือสงครามแห่งใหม่ที่เพิ่งปะทุอย่าง อิสราเอล-อิหร่าน ส่งผลทำให้หลายคนเชื่อมั่นว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 กำลังใกล้ที่จะเกิดขึ้น และครั้งนี้จะเป็นสงครามที่อันตรายยิ่งกว่าเพราะต่างฝ่ายก็มีอาวุธนิวเคลียร์ หรืออาวุธที่มีอานุภาพการทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง
ทั้งนี้ หลายคนเคยอาจตั้งคำถามกันว่า นวัตกรรมการเงินสุดล้ำอย่าง Bitcoin ที่ถูกยกให้เป็นทางออกในหลายด้าน จะสามารถยืนหยัดเหนือภัยพิบัติเหล่านี้ได้ หรือสลายกลายเป็นสิ่งไร้ค่าเหมือนที่เชื่อกันมา ดังนั้นเราจะพาทุกท่านมาหาคำตอบในบทความนี้โดยเราจะลองให้ AI จำลองสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น
บล็อกเชนยังคงอยู่ไหม ?
ลองสมมติว่า วันหนึ่งความขัดแย้งได้ยกระดับจนถึงขั้นขีดสุดและได้มีการสั่งยิงอาวุธนิวเคลียร์ออกมา จากนั้นทั่วโลกต่างก็ทำการตอบโต้และยิงนิวเคลียร์สวนกลับไปมา เหตุการณ์นี้จะส่งผลทำให้โลกเกิดความเสียหายขึ้นอย่างมาก กลายเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ ระบบอินเทอร์เน็ตจะถูกตัดขาดจากคลื่นสนามแม่เหล็ก (EMPs) และการทำธุรกรรมออนไลน์รวมถึงการสื่อสารทั่วโลกได้หยุดชะงักลง
ทั้งนี้ สำหรับการคงอยู่ของบล็อกเชนหลังเหตุการณ์ดังกล่าว จะยังคงขึ้นอยู่กับความพร้อมของโหนดนอกเครือข่าย (off-grid nodes), และวิธีการสื่อสารสำรอง ซึ่งถึงแม้ว่ากลไกฉันทามติ (consensus mechanisms) อาจจะอยู่รอดได้ในทางเทคนิคในพื้นที่ที่ไม่ได้รับผลกระทบ แต่การหน่วงเวลาของธุรกรรม, การแยกส่วนของบัญชีแยกประเภท (ledger fragmentation), และการเสื่อมสภาพของเครือข่ายอย่างรุนแรงก็มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
ในกรณีเครือข่ายที่ใช้ระบบ PoW อย่าง Bitcoin เมื่อเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้น ปัญหาหลักที่จะตามมาคือสถานที่สำคัญอย่างเหมืองขุดที่ใช้พลังงานไฟฟ้าสูงถูกทำลาย ซึ่งนั่นจะทำให้เครือข่ายหยุดชะงัก แต่ในความโชคร้ายก็ยังคงมีโชคดีเพราะถ้าหากยังคงมีโหนดหลงเหลืออยู่ในโลก การกู้ทั้งเครือข่ายกลับคืนมาก็จะยังคงมีความเป็นไปได้
ขณะเดียวกัน หากเทียบระบบ PoW กับ PoS ในสถานการณ์สมมตินี้ ทาง PoS จะได้เปรียบกว่าเพราะใช้พลังงานที่น้อยกว่าและมีการกระจายตัวที่มากกว่า ทว่ามันก็มีข้อเสียตรงที่มีการพึ่งพา oracles และข้อมูล off-chain ทำให้เกิดช่องโหว่ใหม่ๆ หาก oracles ล้มเหลว ทำให้สมาร์ทคอนแทรคต์บนแพลตฟอร์ม DeFi ต่างๆ อาจทำงานผิดปกติอย่างคาดไม่ถึง และส่งผลให้เกิดการ อายัดสินทรัพย์ การบังคับขายสินทรัพย์ผิดพลาด เป็นต้น
โดยสรุปแล้ว บล็อกเชนที่มีการกระจายอำนาจจะมีโอกาสอยู่รอดได้มากกว่าระบบการเงินอื่น ๆ ที่มีการรวมศูนย์เป็นอย่างมากและมีโอกาสที่จะนำกลับมาใช้งานในโลกหลังสงคราม
ราคาจะเป็นอย่างไร ?
ทีนี้เรามาลองพูดถึงมูลค่ากันบ้าง แน่นอนว่าในปัจจุบัน ขนาดเพียงแค่มีการโจมตีทางอากาศจากความขัดแย้งของแต่ละประเทศยังส่งผลทำให้ราคาของ Bitcoin ยังผันผวนดิ่งลงถึง 4% ภายในวันเดียว สิ่งนี้หมายความว่าในปัจจุบัน Bitcoin มีสถานะเป็นสินทรัพย์เสี่ยงที่นักลงทุนพร้อมที่จะเทขายอยู่ตลอดเวลาเมื่อสถานการณเริ่มไม่เป็นใจ
ดังนั้นเมื่อสงครามนิวเคลียร์เริ่มต้นขึ้น ราคาของ Bitcoin หรือคริปโตสกุลต่าง ๆ อาจดิ่งลงได้รุนแรงในทันที และจะยิ่งทวีความสาหัสขึ้นอย่างต่อเนื่องตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสงคราม ทว่าสิ่งที่ทำให้คริปโตไร้ค่าไม่ใช่ตัวของมัน แต่เป็นการที่ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ รองรับการใช้งานต่างหาก
ขณะเดียวกันผู้คนจะหันไปให้ความสำคัญกับปัจจัย 4 มากกว่า และเริ่มมีการนำระบบการต่อรองแลกเปลี่ยนกลับมาอีกครั้ง รวมถึงมีการนำทองคำกลับมาแทนที่การใช้เงินเฟียต
คริปโตแบบไหนจะรอด?
ทั้งนี้ในกรณีที่โลกยังไม่ล่มสลาย และเครือข่ายรวมถึงการเชื่อมต่อต่างๆยังคงพอจะใช้งานได้ คริปโตเคอร์เรนซีก็ยังอาจมีการใช้งานเกิดขึ้นอยู่ ทว่า ไม่ใช่คริปโตทุกรูปแบบจะยังคงอยู่รอด
ในกรณีของ Stablecoin ทาง AI คาดการณ์ว่าจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างหนักเพราะผู้คนจะเริ่มขาดความเชื่อมั่นในเงินเฟียต ส่วนเหรียญมีมยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่รอดแน่นอน
ขณะเดียวกัน เหรียญบางประเภทที่เน้นไปในเรื่องของความเป็นส่วนตัว เช่น Monero หรือ Zcash อาจยังคงเป็นที่ต้องการในยุคหลังสงคราม เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดต่าง ๆ ส่วนพี่ใหญ่อย่าง Bitcoin นั้น แม้ว่าราคาอาจจะมีการปรับลดลงอย่างมาก แต่การวิเคราะห์ของ AI เชื่อมั่นว่า Bitcoin จะเป็นสกุลเงินที่จะยังคงเหลือรอดสืบเนื่องมาจากหลายปัจจัยที่เกื้อหนุน ไม่ว่าจะเป็นความทนทาน หรือความน่าเชื่อถือ เป็นต้น
ที่มา : Cryptonews