เมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ประกาศถอดปัจจัยเรื่อง “ความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์” (Reputational Risk) ออกจากนโยบายการกำกับดูแลธนาคารอย่างเป็นทางการ พร้อมสั่งให้เจ้าหน้าที่นำคำนี้ออกจากคู่มือการตรวจสอบ และหันมาเน้นเฉพาะความเสี่ยงที่สามารถวัดได้จริง เช่น ความเสี่ยงทางการเงิน
การเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับท่าทีของหน่วยงานกำกับดูแลอีกสองแห่ง ได้แก่ สำนักงานประกันเงินฝากของรัฐบาลกลาง (FDIC) และสำนักงานผู้ควบคุมการธนาคาร(OCC) ที่ก่อนหน้านี้ได้ประกาศถอดปัจจัยความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ ออกจากกรอบการกำกับของตนเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ แนวทางด้านภาพลักษณ์ถูกมองว่า เป็นเครื่องมือที่ใช้ขัดขวางไม่ให้ธนาคารทำธุรกิจกับบริษัทคริปโต แม้จะไม่มีความเสี่ยงทางการเงินที่ชัดเจนก็ตาม เช่น การปฏิเสธให้ธนาคารรับฝากเงินจากบริษัทคริปโต หรือห้ามให้บริการซื้อขาย Bitcoin ผ่านธนาคาร
การถอด “ภาพลักษณ์” ออกจากเกณฑ์การตรวจสอบ จะทำให้ธนาคารมีอิสระมากขึ้นในการให้บริการแก่บริษัทในแวดวงสินทรัพย์ดิจิทัล ตราบใดที่สามารถควบคุมความเสี่ยงทางกฎหมาย สภาพคล่อง และเครดิตได้อย่างเหมาะสม
เจอโรม พาวเวลล์ ยอมรับว่า หน่วยงานกำกับดูแลได้ใช้แนวทาง “ระมัดระวังเกินไป” หลังเหตุการณ์ล่มสลายในตลาดคริปโตช่วงปี 2022 ซึ่งบางแนวทางสามารถผ่อนคลายได้ เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถนำนวัตกรรมมาปรับใช้อย่างมีความรับผิดชอบ
เจอโรม พาวเวลล์ ยกตัวอย่างบริการรับฝากคริปโต (custody) ที่ปัจจุบันมีอยู่ในธนาคารภายใต้การกำกับของ Fed แล้ว และย้ำว่า Fed ต้องการรักษาความปลอดภัยของระบบการเงิน พร้อมเปิดพื้นที่ให้ธนาคารสามารถ มีส่วนร่วมกับสินทรัพย์ดิจิทัล
เจอโรม พาวเวลล์ เคยกล่าวกับสภาคองเกรสเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่า กรอบการกำกับเดิมยังคงเปิดทางให้ธนาคารสามารถดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับคริปโตได้ หากสามารถบริหารความเสี่ยงด้านทุน สภาพคล่อง และการดำเนินงานได้ดี
การถอด “ความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์” (Reputational Risk) ออกครั้งนี้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระบบกำกับดูแลสหรัฐฯ ซึ่งใช้เวลานานกว่า 3 เดือน
จากนี้ไป ธนาคารที่ต้องการให้บริการคริปโต จะถูกตรวจสอบโดยใช้เกณฑ์ด้านปฏิบัติการ กฎหมาย และการเงินเท่านั้น ไม่ใช่เพราะ “ภาพลักษณ์” อีกต่อไป
ที่มา : cryptoslate