สำหรับนักลงทุนในโลกคริปโทเคอร์เรนซีมาอย่างยาวนาน เราต่างคุ้นเคยกับจังหวะชีวิตของ Bitcoin ที่ดูเหมือนจะคาดเดาได้ราวกับฤดูกาล มันคือ “วัฏจักรสี่ปี” (Four-Year Cycle) ซึ่งเป็นวงจรที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยมีจุดเริ่มต้นจากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Halving”

อธิบายง่ายๆ คือ ทุกๆ สี่ปี ระบบของ Bitcoin จะลดจำนวนเหรียญใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมาลงครึ่งหนึ่งโดยอัตโนมัติ เหตุการณ์นี้ทำให้ Bitcoin หายากขึ้น และในอดีตมันได้จุดชนวนให้ราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาล (ตลาดกระทิง) ก่อนที่ฟองสบู่จะแตกออกและราคาร่วงลงอย่างหนัก (ตลาดหมี) แล้วจึงค่อยๆ ฟื้นตัวเพื่อรอวัฏจักรรอบใหม่ แต่วันนี้ ผู้เชี่ยวชาญระดับนำของวงการหลายคนกลับพร้อมใจกันประกาศว่า “กฎ” ที่เคยศักดิ์สิทธิ์นี้กำลังจะถูกล้มล้างไปตลอดกาล
“วัฏจักรได้ตายไปแล้ว”
ผู้ที่จุดประเด็นนี้ขึ้นมาอย่างแข็งขันคือ Matt Hougan ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Bitwise บริษัทจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลชื่อดัง เขาเชื่อว่าโครงสร้างของตลาดได้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง และนี่คือเหตุผลหลักๆ ที่เขานำมาสนับสนุนแนวคิดนี้
- Halving ไม่ใช่พระเอกอีกต่อไป Hougan ระบุว่า “Halving จะมีความสำคัญลดลงครึ่งหนึ่งในทุกๆ สี่ปี” หมายความว่ายิ่งมี Bitcoin หมุนเวียนในระบบมากขึ้นเท่าไร การลดจำนวนเหรียญใหม่ในแต่ละครั้งก็ยิ่งส่งผลกระทบต่ออุปทานโดยรวมน้อยลงเท่านั้น เปรียบเหมือนการเติมน้ำหนึ่งหยดลงในสระว่ายน้ำที่เกือบเต็มแล้ว ย่อมสร้างแรงกระเพื่อมได้น้อยกว่าการเติมน้ำหนึ่งหยดลงในแก้วใบเล็ก
- ทิศทางดอกเบี้ยที่เปลี่ยนเป็นใจ ในอดีต เมื่ออัตราดอกเบี้ยของสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตรสูงขึ้น นักลงทุนมักจะย้ายเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโต แต่ปัจจุบัน แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงทำให้การฝากเงินในธนาคารหรือซื้อพันธบัตรไม่น่าดึงดูดใจเท่าเดิม นักลงทุนจึงหันมามองสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอย่าง Bitcoin ซึ่งกลายเป็นปัจจัยบวกที่ดึงดูดเงินทุนเข้ามา
- ตลาดมีเกราะป้องกันที่ดีขึ้น Hougan ชี้ว่า “ความเสี่ยงจากการล่มสลายได้ลดน้อยลง” เนื่องจากอุตสาหกรรมคริปโตเริ่มมีกฎระเบียบที่ชัดเจนมากขึ้น และที่สำคัญคือการเข้ามาของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ทำให้ตลาดไม่ได้เป็นเหมือน “ยุคคาวบอย” อีกต่อไป แต่มีโครงสร้างที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือมากขึ้น
ตัวแปรสำคัญที่พลิกเกมอย่างแท้จริงคือการที่สหรัฐอเมริกาอนุมัติการจัดตั้ง Spot Bitcoin ETF เมื่อเดือนมกราคม 2024 สิ่งนี้เปรียบเสมือนการเปิดประตูเขื่อนให้เงินทุนมหาศาลจากโลกการเงินดั้งเดิมสามารถไหลเข้าสู่ Bitcoin ได้โดยตรงและง่ายดาย ผ่านช่องทางที่ถูกกฎหมายและนักลงทุนสถาบันคุ้นเคย Hougan เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “การโยกย้ายเงินทุนที่อาจกินเวลา 5-10 ปี” ซึ่งหมายถึงการเข้ามาของกองทุนบำเหน็จบำนาญ กองทุนเพื่อการศึกษา และแพลตฟอร์มบริหารความมั่งคั่งต่างๆ ซึ่งเป็นเงินทุนระยะยาวที่ไม่ได้เข้ามาเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น
ด้วยเหตุนี้ Hougan จึงคาดการณ์ว่าตลาดจากนี้ไปจะไม่ใช่ “Super-cycle” ที่ราคาพุ่งขึ้นฟ้าแล้วดิ่งเหว แต่จะเป็น “การเติบโตที่มั่นคงและต่อเนื่อง” และคาดว่าปี 2026 จะเป็นปีที่แข็งแกร่งของคริปโต
เมื่อรถไฟเหาะจอดสนิท จะเกิดอะไรขึ้นถ้า “วัฏจักร 4 ปี” ของ Bitcoin หายไป?
หากคำทำนายของกูรูอย่าง Matt Hougan และคนอื่นๆ เป็นจริง และวัฏจักร “กระทิง-หมี” ที่ขับเคลื่อนด้วย Halving ได้สิ้นสุดลง ตลาดคริปโตที่เราเคยรู้จักจะเปลี่ยนไปตลอดกาล มันจะไม่ใช่การรอคอย “รอบ” ของตลาดอีกต่อไป แต่จะเป็นการเข้าสู่ “ยุค” ใหม่ที่มีกฎเกณฑ์และพฤติกรรมแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
นี่คือสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น
1. จาก “วิ่งสี่คูณร้อย” สู่ “วิ่งมาราธอน” (Sustained & Steady Boom)
หัวใจของการเปลี่ยนแปลงนี้คือการเปลี่ยนจาก “ตลาดกระทิงที่ระเบิดรุนแรง” ไปสู่ “การเติบโตที่มั่นคงและต่อเนื่อง” (sustained and steady boom)
ภาพเดิม ราคา Bitcoin พุ่งทะยานอย่างบ้าคลั่งในเวลาสั้นๆ (เช่น ในปี 2017, 2021) ทำกำไรมหาศาล แล้วก็พังทลายลงมาอย่างรุนแรง นักลงทุนต้องจับจังหวะเข้า-ออกให้ดีเหมือนการวิ่งแข่งระยะสั้น
ภาพใหม่ เราอาจจะได้เห็นราคา Bitcoin ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน อาจจะไม่มีการทำกำไร 10 เท่าในหนึ่งปี แต่ก็อาจจะไม่มีการขาดทุน 80% ในปีถัดไปเช่นกัน การลงทุนจะเปลี่ยนเป็นการสะสมความมั่งคั่งในระยะยาว เหมือนการวิ่งมาราธอนที่ต้องใช้ความอดทนและมองไปที่เส้นชัยข้างหน้า
2. ความผันผวนจะ “เชื่อง” ลง แต่ไม่หายไป
หนึ่งในเอกลักษณ์ของ Bitcoin คือความผันผวนที่รุนแรงราวกับรถไฟเหาะ ในยุคใหม่นี้ รถไฟเหาะขบวนดังกล่าวอาจจะวิ่งนุ่มนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ภาพเดิม การที่ราคาดิ่งลง 80% จากจุดสูงสุดเป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนต้องเจอ
ภาพใหม่ James Seyffart นักวิเคราะห์จาก Bloomberg คาดว่าการปรับฐานรุนแรงอาจจะลดลงเหลือราว 50% แม้จะยังถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้น แต่ก็ไม่น่าหวาดเสียวเท่าเดิม Matt Hougan ย้ำว่า “ความผันผวนที่สำคัญจะยังคงอยู่” แต่มันจะเป็นความผันผวนที่เกิดจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ มากกว่าการเก็งกำไรที่ไร้การควบคุม
3. ตำราการลงทุนต้องเขียนใหม่ ปัจจัยขับเคลื่อนตลาดเปลี่ยนไป
เมื่อ Halving ไม่ใช่พระเอกอีกต่อไป นักลงทุนจะต้องหันมาให้ความสำคัญกับปัจจัยใหม่ๆ ที่กลายเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาด
ภาพเดิม นักลงทุนนับถอยหลังสู่วัน Halving และจับตาดูกราฟในอดีตเพื่อคาดการณ์อนาคต
ภาพใหม่ ปัจจัยชี้วัดจะซับซ้อนและเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกมากขึ้น ได้แก่
- กระแสเงินทุนจาก ETF ยอดซื้อขาย Spot Bitcoin ETF จะกลายเป็นตัวชี้วัดความต้องการของสถาบันที่สำคัญที่สุด
- การยอมรับของสถาบัน ต้องติดตามข่าวว่ามีกองทุนบำเหน็จบำนาญ หรือบริษัทบริหารความมั่งคั่งรายใหญ่แห่งใดบ้างที่เริ่มจัดสรรเงินทุนเข้าสู่ Bitcoin
- กฎระเบียบและนโยบาย ข่าวสารด้านกฎหมายและกฎระเบียบเกี่ยวกับคริปโตในประเทศเศรษฐกิจหลักๆ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
- ภาวะเศรษฐกิจมหภาค อัตราดอกเบี้ย, เงินเฟ้อ และนโยบายการเงินของธนาคารกลางจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องวิเคราะห์ไม่ต่างจากการลงทุนในสินทรัพย์ดั้งเดิม
4. ชะตากรรมของเหรียญเล็ก (Altcoins) อาจเปลี่ยนไป
วัฏจักรของ Bitcoin มักจะนำมาซึ่ง “ Altcoin Season” หรือช่วงเวลาที่เงินกำไรจาก Bitcoin ไหลทะลักเข้าไปเก็งกำไรในเหรียญขนาดเล็กกว่า ทำให้ราคาพุ่งขึ้นหลายร้อยหลายพันเปอร์เซ็นต์ หาก Bitcoin มีเสถียรภาพมากขึ้น ปรากฏการณ์นี้อาจเปลี่ยนไป
ภาพเดิม นักลงทุนโยกเงินจาก Bitcoin ที่เริ่มวิ่งช้า ไปยัง Altcoin ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าเพื่อทำกำไรรอบใหญ่
ภาพใหม่ เมื่อ Bitcoin เติบโตอย่างมั่นคง เงินทุนอาจจะยังคงอยู่ใน Bitcoin ต่อไปในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” ของโลกดิจิทัล การเก็งกำไรใน Altcoin อาจจะลดความร้อนแรงลง และนักลงทุนจะหันไปพิจารณาปัจจัยพื้นฐานและประโยชน์ใช้สอยจริงของแต่ละโปรเจกต์มากขึ้น แทนที่จะหวังรวยเร็วจากการปั่นราคา
โดยสรุป หากวัฏจักร 4 ปีสิ้นสุดลงจริง มันคือสัญญาณว่า Bitcoin กำลังก้าวข้ามจากการเป็นสินทรัพย์เก็งกำไรสุดขั้ว ไปสู่การเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุน (Investable Asset) ที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มันจะถูกผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเงินโลก และพฤติกรรมของมันก็จะคล้ายคลึงกับสินทรัพย์ดั้งเดิมอื่นๆ มากขึ้น ซึ่งนี่อาจเป็นข่าวดีสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการความมั่นคง แต่ก็อาจจะเป็นจุดสิ้นสุดของยุค “รวยทางลัด” ที่เคยเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจของโลกคริปโตก็เป็นได้
เสียงค้านและมุมมองที่แตกต่าง
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับทฤษฎีนี้ ยังมีผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคนที่เชื่อว่าวัฏจักรแบบเดิมยังคงอยู่ และอาจจะอันตรายกว่าเดิมด้วยซ้ำ
- มุมมองฝ่ายค้าน Nick Hansen ซีอีโอของ Luxor บริษัทเหมืองขุด Bitcoin คือหนึ่งในผู้ที่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เขากล่าวว่า “ผมคิดว่าความจริงคือสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง” เขาชี้ไปที่ความเสี่ยงใหม่คือ “บริษัทคลัง Bitcoin” ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนที่ระดมทุนไปซื้อ Bitcoin จำนวนมาก Hansen แย้งว่าบริษัทเหล่านี้ไม่ใช่ “สาวก Bitcoin ตัวยง” ที่จะถือเหรียญไว้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากราคา Bitcoin ร่วงหนัก 50% พวกเขาจะถูกกดดันอย่างหนักจากผู้ถือหุ้นให้เทขาย Bitcoin ออกมาเพื่อพยุงราคาหุ้นของตัวเอง ซึ่งการเทขายนี้จะยิ่งซ้ำเติมให้ราคา Bitcoin ดิ่งลงไปอีก
- มุมมองสายกลาง James Seyffart นักวิเคราะห์ ETF จาก Bloomberg Intelligence มีความเห็นที่นุ่มนวลกว่า เขาเชื่อว่าวัฏจักรยัง “มีอยู่ แต่จะลดความรุนแรงลง” เขาเปรียบเทียบกับรถไฟเหาะที่ “ความสูงชันและความลึกจะไม่เลวร้ายเท่าเดิม” จากที่เคยร่วง 80% ในอดีต อาจจะเหลือแค่ร่วง 50% เพราะมีเงินทุนจากสถาบันที่มั่นคงกว่าเข้ามาช่วยพยุง แต่เขาก็เตือนว่า แม้แต่ที่ปรึกษาการเงินที่นำเงินลูกค้ามาลงใน ETF ก็อาจสร้างแรงขายได้เช่นกัน เช่น หากตั้งเป้าลงทุนใน Bitcoin ไว้ 5% ของพอร์ต แต่ราคา Bitcoin พุ่งจนสัดส่วนกลายเป็น 10% พวกเขาก็อาจจะต้อง “ขาย” ส่วนเกินออกเพื่อปรับสมดุลพอร์ต
- มุมมองดั้งเดิม ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์อย่าง Rekt Capital ยังคงยึดมั่นในรูปแบบประวัติศาสตร์ เขาเตือนว่าหากวัฏจักรนี้ซ้ำรอยปี 2020 ตลาดกระทิงอาจเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือน และจะถึงจุดสูงสุดราวเดือนตุลาคม 2025
บทสรุป
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนทำนายการสิ้นสุดของวัฏจักร ทฤษฎี “Supercycle” ก็เคยถูกพูดถึงในปี 2020 แต่สุดท้ายก็ไม่เกิดขึ้นจริง เมื่อ Bitcoin ยังคงร่วงลงกว่า 75% ในปี 2022 ตามรูปแบบเดิมเกือบทุกประการ
บทสรุปในวันนี้จึงยังคงคลุมเครือ ตลาดกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยสองพลังที่สวนทางกัน ด้านหนึ่งคือเม็ดเงินมหาศาลจากสถาบันที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งน่าจะทำให้ตลาดมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งคือพฤติกรรมของนักลงทุนหน้าใหม่เหล่านี้ยังไม่เคยถูกทดสอบในตลาดหมีที่รุนแรง และรูปแบบในอดีตก็ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้
ดังที่ Hansen กล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิด “สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปจากนี้ คือดินแดนที่เราไม่เคยไปถึงมาก่อน อย่างแน่นอน” กฎเก่าอาจใช้ไม่ได้ผล แต่กฎใหม่ก็ยังไม่ถูกเขียนขึ้นมา นักลงทุนทั่วโลกจึงกำลังก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความตื่นเต้นและความไม่แน่นอนครั้งประวัติศาสตร์
ที่มา: cointelegraph , yahoo finance

