กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ได้เริ่มอัปโหลดข้อมูล GDP ของประเทศขึ้นสู่เครือข่ายบล็อกเชน 9 แห่งแล้ว และยังได้จับมือเป็นพันธมิตรกับเครือข่าย Oracle แบบกระจายศูนย์อย่าง Chainlink และ Pyth เพื่อผนวกข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐฯ เข้ากับระบบนิเวศการเงินแบบกระจายศูนย์ ( DeFi) และเศรษฐกิจคริปโตในวงกว้าง
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้เผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจบนบล็อกเชน (On-chain)
โดยในตอนนี้ ข้อมูล GDP ประจำไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 ได้ถูกอัปโหลดขึ้นสู่บล็อกเชนต่างๆ แล้ว ซึ่งรวมถึง Bitcoin, Ethereum, Solana, Tron, Avalanche, Stellar และเครือข่าย Layer-2 ของ Ethereum อย่าง Polygon, Arbitrum และ Optimism โดยได้รับความช่วยเหลือจากแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนอย่าง Coinbase, Gemini และ Kraken
นอกจากนี้ การเป็นพันธมิตรกับ Chainlink และ Pyth จะช่วยให้สามารถเผยแพร่ข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบยืนยันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงสถิติ GDP, ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อ และข้อมูลสำคัญอื่นๆ ไปทั่วทั้งระบบนิเวศ DeFi ซึ่ง Chainlink ระบุว่าจะช่วยสนับสนุนตลาดคาดการณ์, ส่งเสริมการพัฒนาสินทรัพย์คริปโตประเภทใหม่ๆ และเพิ่มความสามารถในการปรับตัวของสินทรัพย์ในรูปแบบโทเคน
ทางด้าน โฮเวิร์ด ลุตนิค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งบริษัท Cantor Fitzgerald ของเขาได้เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งในเศรษฐกิจคริปโต ได้กล่าวถึงการเคลื่อนไหวนี้ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่ทำเนียบขาวเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
“เป็นเรื่องเหมาะสมอย่างยิ่งที่กระทรวงพาณิชย์และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ‘ประธานาธิบดีคริปโต’ จะเผยแพร่ข้อมูลสถิติทางเศรษฐกิจสู่สาธารณะบนบล็อกเชน” ลุตนิคกล่าวในแถลงการณ์ “เรากำลังทำให้ความจริงทางเศรษฐกิจของอเมริกานั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้และเข้าถึงได้ทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเป็นการตอกย้ำบทบาทของเราในฐานะเมืองหลวงแห่งบล็อกเชนของโลก”
โดยบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการประกาศครั้งนี้ได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาลในทันที โดยราคาโทเคน PYTH ของ Pyth Network ได้พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงถึง 69% ภายในไม่กี่นาทีหลังข่าวดังกล่าว ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้นของมูลค่าตามราคาตลาดที่ปรับลดแล้ว (Fully Diluted Valuation) เกือบ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในขณะที่ราคาเหรียญ LINK ของ Chainlink ปรับตัวขึ้น 7.6% แตะระดับ 25.82 ดอลลาร์ ซึ่งแม้จะดูน้อยกว่า แต่ด้วยขนาดมูลค่าตลาดที่ใหญ่กว่า ทำให้การเพิ่มขึ้นนี้มีมูลค่ามากกว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และในช่วงเดือนที่ผ่านมา ราคา LINK ได้พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 40% คิดเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นกว่า 7 พันล้านดอลลาร์
ที่มา: finance.yahoo