Bithumb กระดานเทรดคริปโตที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของเกาหลีใต้ ประกาศว่า จะจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้ใช้งานที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ระบบขัดข้องนานกว่า 100 นาที เมื่อคืนวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา โดยยืนยันว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับการโจมตีจากภายนอก แต่เป็นความผิดพลาดของระบบธุรกรรมภายใน
สื่อข่าวท้องถิ่น Seoul Kyungjae รายงานว่า ระบบของ Bithumb หยุดทำงานลง “อย่างกะทันหัน” ตั้งแต่เวลา 23:27 น. (KST) ของวันที่ 2 กันยายน ส่งผลให้การส่งคำสั่งซื้อขายล่าช้า และสมุดคำสั่ง (Order Book) ค้าง จนไม่สามารถทำธุรกรรมได้ตามปกติ นานประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที

ทีมนักพัฒนาของบริษัทได้เข้าปรับปรุงระบบทันทีหลังพบความผิดปกติ ก่อนที่บริการจะกลับมาใช้งานได้ในที่สุด โดยเมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา Bithumb ออกแถลงการณ์ว่าจะ “ชดเชยความเสียหายอย่างเต็มที่” ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ และคาดว่ากระบวนการตรวจสอบและจ่ายค่าชดเชยจะแล้วเสร็จภายใน 1 เดือน
เจ้าหน้าที่ของ Bithumb ยืนยันว่า “ระบบไม่ได้ถูกโจมตีจากภายนอก” แต่เกิดจากความผิดพลาดทางเทคนิคภายใน ซึ่งขณะนี้บริษัทกำลังตรวจสอบรายละเอียดเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ซ้ำรอย

เหตุการณ์ครั้งนี้ตอกย้ำถึงปัญหาใหญ่ของกระดานเทรดคริปโตในเกาหลีใต้ ที่มักเผชิญกับระบบล่มในช่วงที่มีปริมาณการซื้อขายหนาแน่น โดยข้อมูลจากสำนักงานของ Lee Heon-seung สมาชิกสภาพรรค People Power Party ระบุว่า ระหว่างปี 2018–2024 กระดานเทรดคริปโตรายใหญ่ของเกาหลีใต้เกิดระบบล่มไปแล้วถึง 89 ครั้ง
ในจำนวนนี้ Bithumb เกิดเหตุระบบล่มมากที่สุด 41 ครั้ง ตามมาด้วย Upbit 28 ครั้ง, GOPAX 11 ครั้ง, Coinone 8 ครั้ง และ Korbit 1 ครั้ง
สื่อท้องถิ่นยังชี้ว่า เกาหลีใต้ยังไม่มีมาตรฐานทางกฎหมายกลาง เกี่ยวกับการชดเชยความเสียหาย ทำให้แนวทางแก้ปัญหาของแต่ละตลาดแตกต่างกันอย่างมาก และเพิ่มแรงกดดันให้นักลงทุนรู้สึกไม่มั่นใจต่อโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรม
นอกจากปัญหาระบบล่ม Bithumb ยังอยู่ในช่วงเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ในสหรัฐฯ ภายในปี 2026 โดยได้ตั้งบริษัทในเครือเพื่อดำเนินการแยกธุรกิจหลักออกมา หวังเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการ
นักวิเคราะห์ในอุตสาหกรรมมองว่า เหตุการณ์ล่มครั้งนี้อาจเป็น “บททดสอบสำคัญ” สำหรับ Bithumb ในการสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่บริษัทกำลังผลักดันตัวเองสู่ตลาดทุนระดับโลก
- ที่มาข่าว:cryptonews
- ที่มาภาพ:MarketWatch
