<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เบื้องหลังความสำเร็จ ‘Hyperliquid’ DEX มูลค่าหมื่นล้านที่สร้างโดย ‘เจฟฟ์ หยาน’ และทีมงานเพียง 11 คน

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ตลอดช่วง 10 กว่าเดือนที่ผ่านมา Hyperliquid ได้กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ถูกพูดถึงอย่างในวงกว้าง เพราะเป็น Dex ที่สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จนถูกมองว่าเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของ Binance แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่าเบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้ กลับสร้างด้วยทีมงานเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น

Jeff Yan: ชายผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Hyperliquid


Jeff Yan มีจุดเริ่มต้นมาจากการเป็นเด็กนักเรียนหัวกะทิที่เติบโตในสหรัฐฯ โดยเขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Harvard ในปี 2017 สาขาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ หลังจากเรียนจบ เขาได้ทำงานที่ Hudson River Trading ซึ่งเป็นบริษัทด้านการเทรดแบบความถี่สูง (HFT) ในวงการการเงินแบบดั้งเดิม (TradFi) ทำให้เขามีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

ในปี 2018 Yan เริ่มสนใจใน Ethereum และมองว่ามันคือ “อนาคตของการเงิน” เขาเริ่มมีไอเดียที่จะสร้างเว็บเทรดแบบ Layer 2 บนบล็อกเชน Ethereum  แต่โชคร้ายที่ตอนนั้นเขาไม่มีเงินทุน ส่วนตลาดก็ไม่เป็นใจ  

อย่างไรก็ตามแทนที่เขาจะยอมแพ้ Yan ได้หันไปเอาดีด้านการเขียนโปรแกรม Chameleon Trading และ Python scripts ที่ใช้งานได้ดีมาก ๆ จนเขากลายเป็น Market Maker หัวแถวในเวลาไม่ถึงปี

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งมาถึงปี 2022 กับเหตุการณ์เว็บเทรด FTX ล่มสลาย ซึ่งเหตุการณ์นี้จะไปกระตุ้นให้ Yan ได้ไอเดียในการสร้างแพตฟอร์มเทรดที่โปรงใสไม่มีการรวมศูนย์อำนาจ และเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่โลกจะพร้อมสำหรับระบบการเงินแบบกระจายอำนาจที่แท้จริง

ผู้ให้กำเนิด Hyperliquid

ในช่วงแรก Hyperliquid ได้เปิดตัวอย่างเงียบๆ โดยไม่มีการโปรโมตอะไรใหญ่โต ไม่มีเหรียญของตัวเอง และที่สำคัญไม่มีการสนับสนุนจากนักลงทุนหรือการทำการตลาดใดๆ ทั้งสิ้น แต่อย่างไรก็ตาม, ทีมวิศวกรผู้มีความมุ่งมั่นกลับสร้างแพลตฟอร์มที่มีคุณภาพออกมา และผลลัพธ์ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า “ของดี” ไม่ต้องพูดเยอะ เมื่อเปิดตัวออกไปก็มีผู้สนใจและตอบรับอย่างรวดเร็ว

ตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว Hyperliquid ก็ถูกมองว่าเป็นผู้ท้าชิงตัวจริงในการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าตลาด Binance และตอนนี้แพลตฟอร์มได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดจนมีผู้ใช้งานมากกว่า 1 ล้านราย พร้อมกับการทำธุรกรรมมากกว่า $10,000 ล้าน ต่อวัน ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มการเทรดคริปโตที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุดในโลก

พนักงานเพียง 11 คน

ในบทสัมภาษณ์หนึ่ง Yan ได้เปิดเผยว่า ทีมงานเบื้องหลัง Hyperliquid มีเพียง 11 คนเท่านั้น แต่เป็น  11 คนที่ถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดี  เพราะเขาเชื่อว่า “การจ้างคนผิดนั้นแย่กว่าการไม่จ้างหลายเท่า” ปรัชญานี้ทำให้บริษัทมีความ “ลีน” และคล่องตัวสูง 

ทีมงานขนาดเล็กนี้สามารถจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง สามารถตั้งกระดานเทรด – ตรวจสอบระบบการฝากและการดูและสินทรัพย์, การพัฒนาเครือข่าย และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ด้วยพนักงานเพียง 11 คน 

ขณะเดียวกัน Hyperliquid ตัดสินใจไม่เลือกที่จะรับเงินจากนักลงทุนใหญ่ และหาเงินเข้ามาเอง เพื่อรักษาความเป็นอิสระ และมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างชุมชนเป็นหลัก ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องได้รับอนุมัติจากใคร

ความเป็นอิสระและความเป็นหัวกะทิของทีมงานได้ถูกพิสูจน์ในเหตุการณ์ที่เกิดปัญหา API outage เมื่อวันที่ 29 กรกฏาคมที่ผ่านมา แม้ระบบจะรวนไป 37 นาที แต่วันรุ่งขึ้น Hyperliquid  ก็สามารถกู้สถานการณ์ได้ทั้งหมดและส่งเงินคืนให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

ทำไม Hyperliquid ถึงโตในขณะที่คนอื่นชะงัก

สุดท้ายนี้หลายคนคงจะสงสัยเหมือนกันว่าทำไม Hyperliquid ถึงได้กลายมาเป็นม้ามืดในวงการ Dex ส่วนโปรเจกต์อื่น ๆ ยังคงหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม ซึ่งนี่อาจเป็น 4 เหตุผลหลักที่ทำให้ Hyperliquid ประสบความสำเร็จ :

ประการแรกคือ Hyperliquid เลือกใช้การออกแบบเชนที่เน้นการประมวลผลเป็นอันดับแรก โดยใช้เทคโนโลยี HyperCore ในการจัดการการจับคู่คำสั่ง (matching) และหลักประกันบนเชน (on-chain margin) ทั้งหมด ในขณะที่ HyperEVM ก็ช่วยให้สามารถใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันอื่น ๆ ได้ การออกแบบนี้ทำให้ Hyperliquid มีความหน่วง (latency) ใกล้เคียงกับเว็บเทรดแบบรวมศูนย์ (CEX) อย่าง Binance แต่ยังคงรักษาความโปร่งใสและให้ผู้ใช้สามารถควบคุมสินทรัพย์ของตัวเองได้อย่างเต็มที่

ประการที่สอง Hyperliquid ใช้กลไกการซื้อโทเคนคืนด้วยค่าธรรมเนียมที่ได้รับ (fee-funded buybacks) ผ่านกองทุน Assistance Fund และ HLP Vault ซึ่งเป็นกลไกที่สร้างวงจรการเพิ่มสภาพคล่องแบบ reflexive liquidity loop เมื่อปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น ก็จะยิ่งดึงดูดสภาพคล่องเข้ามาในระบบมากขึ้น ทำให้แพลตฟอร์มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ประการที่สาม การรักษาทีมหลักให้มีขนาดเล็กเพียง 11 คน ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการได้อย่างมาก และที่สำคัญคือทำให้วงจรการพัฒนาผลิตภัณฑ์รวดเร็วและคล่องตัว สามารถปรับตัวและแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที

ประการที่สี่ Hyperliquid ได้เปรียบในเรื่องการกระจายตัวและการเข้าถึงที่ง่ายดาย โดยเฉพาะการเชื่อมต่อโดยตรงกับ Phantom Wallet ซึ่งช่วยลดอุปสรรคสำหรับผู้ใช้งานใหม่ และขยายฐานผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็วในช่วงที่ตลาดอนุพันธ์บนเชน (on-chain derivatives) ที่กำลังอยู่ในช่วงตลาดขาขึ้น

แม้ Hyperliquid จะยังถือเป็นแพลตฟอร์มที่ใหม่ แต่ด้วยความได้เปรียบทั้ง 4 ประการนี้ ทำให้มันมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งที่อาจต่อกรกับ Binance ได้อย่างสูสีในอนาคต 

ลิงก์ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ที่มา : Cointelegraph