พอล แอตกินส์ (Paul Atkins) ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า “คริปโตคืองานอันดับหนึ่ง” (Crypto is job one) ในงานเสวนาโต๊ะกลมเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งจัดขึ้นเพื่อประสานนโยบายร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลคู่ขนานอย่าง CFTC เป็นครั้งแรก
เหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ส่งสัญญาณถึงการสิ้นสุดยุค “สงครามชิงพื้นที่” (Turf War) ระหว่างสองหน่วยงานกำกับดูแลที่ทรงอิทธิพลที่สุดของสหรัฐฯ และเป็นการเปิดฉากยุคใหม่แห่งความร่วมมือเพื่อสร้างกฎระเบียบสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่ชัดเจนและไร้รอยต่อ
“สงครามจบแล้ว” วันใหม่ของกฎระเบียบสหรัฐฯ
บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยท่าทีที่เป็นมิตรอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยผู้นำของทั้งสองหน่วยงานต่างยืนยันถึงความตั้งใจที่จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด
- “หน่วยงานของเราทั้งสองต้องทำงานสอดประสานกันอย่างสมบูรณ์” แอตกินส์ ประธาน SEC กล่าว “สิ่งที่สำคัญคือการสร้างกรอบการทำงานที่หน่วยงานของเราประสานงานกันได้อย่างราบรื่น”
- แคโรไลน์ ฟาม (Caroline Pham) รักษาการประธานคณะกรรมการกำกับดูแลตลาดสัญญาซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า (CFTC) กล่าวเสริมว่า “นี่คือวันใหม่ และสงครามชิงพื้นที่ได้จบลงแล้ว”
เป้าหมายหลักคือการทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “หลักทรัพย์” (Securities) ที่อยู่ใต้การกำกับของ SEC และ “สินค้าโภคภัณฑ์” (Commodities) ที่อยู่ใต้การกำกับของ CFTC มีความชัดเจนและไม่เป็นอุปสรรค เพื่อให้บริษัทหรือแอปพลิเคชันคริปโตสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างถูกต้องและไม่ต้องเผชิญกับกฎระเบียบที่ขัดแย้งกัน
ภารกิจจากทำเนียบขาว ทรัมป์ต้องการกฎหมายคริปโตภายในสิ้นปี
การเคลื่อนไหวครั้งประวัติศาสตร์นี้เกิดขึ้นจากแรงผลักดันระดับสูงสุด แอตกินส์เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ “ให้โจทย์ที่ท้าทายมา” และต้องการที่จะลงนามในร่างกฎหมายโครงสร้างตลาดคริปโตให้ได้ภายในสิ้นปีนี้
“แน่นอนว่าภารกิจสำคัญที่สุดในตอนนี้คือเรื่องคริปโต” แอตกินส์กล่าว
อนาคตคือ ‘Tokenization’ และความชัดเจน
แอตกินส์ยังได้กล่าวถึง “Asset Tokenization” (การแปลงสินทรัพย์ให้อยู่ในรูปแบบโทเค็นดิจิทัล) ว่าจะเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ SEC ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ แม้ว่าการสร้างกรอบกำกับดูแลอาจต้องใช้เวลาอีก “หนึ่งหรือสองปี” ก็ตาม “ศักยภาพของมันนั้นไร้ขีดจำกัด” เขากล่าวเสริม
งานเสวนาในครั้งนี้ยังสะท้อนถึงแนวทางการทำงานที่เปิดกว้างมากขึ้น โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมคริปโต เช่น Kraken, Crypto.com, และ Robinhood Markets เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย
การประกาศความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณบวกที่แข็งแกร่งที่สุดจากหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ เป็นการเปลี่ยนผ่านจากยุคแห่งความไม่แน่นอนและการบังคับใช้กฎหมาย มาสู่ยุคของการสร้างกรอบการทำงานที่ชัดเจนและส่งเสริมการเติบโตของนวัตกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต
ที่มา: coindesk

