ราคาทองคำกำลังเจอกับการ ปรับฐานที่รุนแรงในประวัติศาสตร์ หลังราคาร่วงลงในวันเดียวถึงกว่า 5.5% เหตุการณ์แบบนี้แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนทำให้นักลงทุนและนักเทรดเริ่มวิตกหนักว่า “ฟองสบู่ทองคำกำลังจะแตกแล้วจริงหรือไม่?

ทองคำปลอดภัยจริงไหม?
ตามปกติแล้วทองคำมักจะถูกยกย่องว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” หรือ Safe Haven ท่ามกลางวิกฤตโลก ไม่ว่าจะเป็นสงครามหรือเศรษฐกิจ เป็นแหล่งพักเงินชั้นดีสำหรับนักลงทุนที่กลัวความเสี่ยง แต่เชื่อหรือไม่ว่าหลายคนกำลังเกิดความเข้าใจผิด
ถ้าให้พูดตามหลักความเป็นจริง “ทองคำ” นั้นปลอดภัยเนื่องจาก หากคุณไปซื้อทองมาอยู่กับตัวไม่ว่าอย่างไรทองก็จะอยู่กับคุณจนกว่าจะขาย ไม่เหมือนกับหุ้น หรือ คริปโต ที่ต้องไปซื้อขายผ่านตัวแทนและสิ่งที่คุณได้รับกลับมาคือ “สัญญา” ที่ใช้แทนสินทรัพย์จริง
จากที่ได้กล่าวไปข้างต้น นั่นเองจึงทำให้สิ่งที่นักลงทุนอาจกำลังสับสน คือเรื่องของ ความปลอดภัยในฐานะวัตถุที่จับต้องได้ กับ ความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุน
ใครว่าทองไม่เสี่ยง? มีโอกาสดอยหนักกว่าหุ้น-คริปโต
หากวิเคราะห์กันด้วยข้อมูลสถิติตัวเลขแล้วจะพบว่า “สินทรัพย์ปลอดภัย” ที่เราต่างเชื่อถืออย่างทองคำนั้นมีความเสี่ยงไม่ได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในหุ้นหรือคริปโต แน่นอนว่า หากซื้อมาเก็บไว้เป็นทรัพย์สมบัติระยะยาวส่งต่อให้ลูกหลาน ไม่ว่าอย่างไรทองคำก็จะให้ผลตอบแทนแน่นอน แต่กว่าจะถึงวันนั้นเชื่อหรือไม่ว่าเคยมีคนติดดอยทองคำนานถึง “26 ปี”
อ้างอิงข้อมูลจากกราฟ XAU/USD พบว่าในปี 80’s ทองคำได้พุ่งอย่างรุนแรงคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน ทว่าสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือการร่วงดิ่งครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งมูลค่าของทองได้ร่วงลงไปถึง 70% และ ต้องใช้เวลากว่า 26 ปี ในการฟื้นตัวกลับขึ้นมาที่จุดเดิม

ถัดมาในปี 2011 ราคาของทองคำได้ร่วงลงอย่างหนักอีกครั้ง และในครั้งนี้ใช้เวลาไปอีกเกือบ 9 ปีในการฟื้นกลับขึ้นมาที่จุดเดิม
เมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ 2 เหตุการณ์ใหญ่ของตลาดหุ้นคงหนีไม่พ้นวิกฤต ฟองสบู่ดอทคอม และ วิกฤตซับไพรม์ (แฮมเบอร์เกอร์) โดยตลาดหุ้นใช้เวลาฟื้นตัวจาก dotcom นานกว่า 6 ปี ส่วนวิกฤตซับไพรม์ใช้เวลาฟื้นตัว 4 ปี 10 เดือน ซึ่งจะเห็นได้ว่าใช้เวลาน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับการติดดอยทองคำ
ขณะเดียวกันทางฝั่งของ Bitcoin ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แม้ว่าจะเป็นนวัตกรรมใหม่ที่เกิดขึ้นมาได้ไม่นานแต่จากวัฏจักรที่ผ่านๆ มาจะพบว่า ไม่ว่าคุณจะติดดอยที่ราคาไหน หากถือ Bitcoin ไว้เกิน 4 ปี ราคาจะกลับมายังจุดนั้นเสมอ (แต่ในอนาคตยังไม่แน่นอน)
สิ่งนี้หมายความว่า หากฟองสบู่ทองคำถึงคราววิกฤต มีโอกาสสูงมากที่สภาพคล่องของนักลงทุนจะถูกแช่แข็งไว้ยาวนานหลายปี และนั่นยังไม่ได้มีการคำนวนถึงภาวะเงินเฟ้อเข้าไปด้วยทำให้ราคาที่ทนถือเอาไว้อาจไม่ได้ต่างอะไรมากกับราคาที่เข้าซื้อในอดีตหากตัดสินใจยอมขายที่ราคาทุน
ทองคำเสี่ยงไม่พอ ยังผันผวนสูงกว่าด้วย
นอกเหนือจากเรื่องของความเสี่ยงติดดอยแล้ว ทองคำยังไม่ใช่สินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำเหมือนที่ใครหลายคนนึกภาพไว้ และตัวเลขจริงก็เผยให้เห็นว่า ทองคำนั้นผันผวนกว่าหุ้นสหรัฐฯเสียอีก
เมื่อลองมาดูถึงค่าความผันผวน (Standard Deviation) ของทองคำจะอยู่ที่ 19.60% เทียบกับหุ้นสหรัฐฯ ที่ 15.31% ขณะเดียวกันหากวัดผลตอบแทนระยะยาวแบบทบต้นปีต่อปี จะเห็นได้ว่า หุ้นสหรัฐฯ นั้นทำผลตอบแทนได้ดีกว่าด้วยอัตราผลตอบแทน 10.89% ต่อปี เมื่อเทียบกับทองคำที่ 8.52% ต่อปี และเมื่อลองแปลงความเสี่ยงกับอัตราส่วนผลตอบแทนแล้วทองคำยังคงด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
สรุป
ทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยจริงเพราะในยามที่โลกไม่มั่นคงทองคำยังคงเป็นสกุลเงินตัวกลางที่ทั้งโลกใช้แลกเปลี่ยนมาโดยตลอดหลายพันปี ทำให้ไม่ว่าอย่างไรก็ตามทองคำจะมีการถูกนำมาใช้ ไม่ช้าก็เร็ว
ทว่า ความเสี่ยงของทองคำเป็นเรื่องที่ต้องแยกออกจากกัน สิ่งนี้ทำให้ความเชื่อที่ว่าซื้อทองยังไงก็ไม่มีทางขาดทุนหนักนั้นไม่เป็นความจริง แถมยังมีโอกาสติดดอยได้นานกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นอีกด้วยหากวัดกันตามสถิติ เว้นเสียแต่ว่าคุณจะเดาทิศทางของตลาดโลกได้ และถ้าให้พูดตรงๆแล้วนั้น ทองคำมีความคล้ายคลึงกับสินทรัพย์เสี่ยงเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้น นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนเริ่มการลงทุนโดยเสมอ รวมถึงมีการประเมินความเสี่ยง และไม่คล้อยตามไปกับกระแสข่าวจนมากเกินไป เพื่อที่วิถีชีวิตของเราจะไม่ได้รับผลกระทบหนักจากการลงทุนผิดพลาด
บทความนี้ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน

