<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

อยากเทรดคริปโต? 5 “ข้อมูล” บนกราฟ ที่คุณต้องอ่านให้เป็น (ถ้าไม่อยากขาดทุน)

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในโลกที่ผันผวนของคริปโตเคอร์เรนซี การเข้าซื้อโดย “ปราศจากเข็มทิศ” ถือเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง “กราฟเทคนิค” (Technical Analysis) จึงเป็นเหมือน “เข็มทิศ” ที่เทรดเดอร์มืออาชีพใช้ในการอ่านทิศทางลม พฤติกรรมตลาด และหาจังหวะเข้า-ออกที่แม่นยำ

การอ่านกราฟไม่ได้หมายความว่าคุณจะ “ชนะ” ทุกครั้ง แต่หมายความว่าคุณจะ “เข้าใจ” ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการทำกำไรในระยะยาว

คำเตือน บทความนี้ไม่ใช่คำแนะนำทางการเงิน เป็นเพียงการนำเสนอแนวคิดและเครื่องมือเพื่อการศึกษาเท่านั้น การลงทุนในคริปโตมีความเสี่ยงสูงมาก ควรศึกษาข้อมูลและตัดสินใจด้วยตนเอง

1. แนวรับ-แนวต้าน (Support & Resistance) “พื้น” และ “เพดาน” ของราคา

นี่คือแนวคิดที่ “พื้นฐานที่สุด” และ “สำคัญที่สุด” ที่มือใหม่ทุกคนต้องเข้าใจ

  • แนวรับ (Support) เปรียบเสมือน “พื้นห้อง” นี่คือระดับราคาที่เมื่อราคา “ร่วง” ลงมาถึงจุดนี้ มักจะมี “แรงซื้อ” (Demand) จำนวนมากเข้ามาพยุงไว้ ทำให้ราคาไม่ตกลงไปต่อ หรือ “เด้ง” กลับขึ้นไป เทรดเดอร์มักมองจุดนี้เป็น “จุดเข้าซื้อ” ที่มีความเสี่ยงต่ำ
  • แนวต้าน (Resistance) เปรียบเสมือน “เพดานห้อง” นี่คือระดับราคาที่เมื่อราคา “พุ่ง” ขึ้นไปถึงจุดนี้ มักจะมี “แรงขาย” (Supply) จำนวนมากออกมาเทขายทำกำไร ทำให้ราคาไม่สามารถทะลุผ่านไปได้ง่ายๆ เทรดเดอร์มักมองจุดนี้เป็น “จุดขายทำกำไร”

สิ่งที่ต้องรู้ หากราคา “ทะลุ” (Breakout) แนวต้านสำคัญขึ้นไปได้ แนวต้านนั้นมักจะ “เปลี่ยน” หน้าที่เป็น “แนวรับใหม่” ในทันที (และในทางกลับกัน)

หัวใจของการเทรดคือการ “ตามกระแส” ไม่ใช่ “สวนกระแส” คุณต้องรู้ก่อนว่าตอนนี้ ตลาดส่วนใหญ่อยู่ในทิศทางไหน

  • แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) สังเกตง่ายๆ คือราคาทำ “จุดสูงสุดใหม่” (Higher Highs) และ “จุดต่ำสุดที่ยกสูงขึ้น” (Higher Lows) เหมือนการเดินขึ้นบันได กลยุทธ์ที่ถูกต้องคือการ “ย่อซื้อ” (Buy on Dips) หรือซื้อเมื่อราคาปรับฐานลงมาที่แนวรับ
  • แนวโน้มขาลง (Downtrend) ตรงกันข้าม คือราคาทำ “จุดสูงสุดที่ต่ำลง” (Lower Highs) และ “จุดต่ำสุดใหม่” (Lower Lows) กลยุทธ์ที่ถูกต้องคือการ “อยู่เฉยๆ” (หากถือ Spot) หรือ “ชอร์ต” (Short) หากคุณเทรดฟิวเจอร์ส
  • ภาวะไม่มีแนวโน้ม (Sideways) คือช่วงที่ราคา “อัดอั้น” วิ่งอยู่ในกรอบแนวรับ-แนวต้านเดิมๆ ตลาดกำลัง “สะสมพลัง” หรือรอความชัดเจน นี่คือช่วงที่เทรดเดอร์สายเทรนด์จะ “หยุดเทรด” และรอจนกว่าราคาจะ “เลือกทาง” (Breakout)

3. แท่งเทียน (Candlesticks) “ภาษา” บอกอารมณ์ตลาด

แท่งเทียนแต่ละแท่ง คือการ “สรุป” การต่อสู้ระหว่าง “แรงซื้อ” และ “แรงขาย” ภายในช่วงเวลานั้นๆ การอ่านแท่งเทียน จะช่วยให้คุณ “อ่านอารมณ์” ตลาดได้

  • สิ่งที่แท่งเทียนบอก ราคาเปิด (Open), ราคาปิด (Close), ราคาสูงสุด (High), และราคาต่ำสุด (Low)
  • ตัวแท่ง (Body) คือส่วนหนาๆ บอกความต่างระหว่างราคาเปิด-ปิด
    • แท่งเขียว (Bullish) ราคาปิด “สูงกว่า” ราคาเปิด (แรงซื้อชนะ)
    • แท่งแดง (Bearish) ราคาปิด “ต่ำกว่า” ราคาเปิด (แรงขายชนะ)
  • ไส้เทียน (Wick/Shadow) คือเส้นบางๆ บอกราคาสูงสุดและต่ำสุดที่เคยไปถึง

รูปแบบที่ควรรู้จัก

  • Hammer (ค้อน) ตัวแท่งสั้น ไส้ล่างยาว มักเกิดที่จุดต่ำสุดของขาลง บ่งบอกว่าแม้จะมี “แรงขาย” กดราคาลงไป แต่ก็มี “แรงซื้อ” มหาศาล “ตบ” ราคากลับขึ้นมาได้ (สัญญาณ “อาจจะ” กลับตัวเป็นขาขึ้น)
  • Doji ตัวแท่ง “แคบมาก” (ราคาเปิดกับปิดเกือบเท่ากัน) บ่งบอกถึง “ความลังเล” ของตลาด ไม่มีใครชนะ อาจเป็นสัญญาณเตือนการ “กลับตัว” (Reversal)
  • Engulfing (กลืนกิน) แท่งเทียนแท่งปัจจุบัน “ใหญ่” จน “กลืนกิน” (Engulfs) แท่งก่อนหน้าทั้งแท่ง
    • Bullish Engulfing แท่งเขียวใหญ่ กลืนแท่งแดงเล็กก่อนหน้า (สัญญาณกลับตัวเป็นขาขึ้น)
    • Bearish Engulfing แท่งแดงใหญ่ กลืนแท่งเขียวเล็กก่อนหน้า (สัญญาณกลับตัวเป็นขาลง)

4. ปริมาณการซื้อขาย (Volume) “ตัวยืนยัน” ความแข็งแกร่ง

Volume คือ “น้ำมันเชื้อเพลิง” ของราคา หากราคาพุ่งขึ้น แต่ไม่มี Volume สนับสนุน ก็เหมือน “รถที่น้ำมันใกล้หมด” ไปต่อได้ไม่ไกล

Volume คือแท่งกราฟที่อยู่ด้านล่างของจอ

  • แท่งสูง หมายถึง ปริมาณการซื้อขาย “หนาแน่น”
  • แท่งเตี้ย หมายถึง ปริมาณการซื้อขาย “เบาบาง”

วิธีใช้ Volume ใช้เพื่อ “ยืนยัน” การเคลื่อนไหวของราคา

  • การทะลุ (Breakout) ที่แท้จริง หากราคาทะลุแนวต้านสำคัญ “พร้อมกับ” Volume ที่พุ่งสูงขึ้น นั่นคือสัญญาณ “กระทิง” ที่แข็งแกร่ง (Strong Trend)
  • การทะลุ (Breakout) ที่หลอกลวง หากราคาทะลุแนวต้าน แต่ Volume “เหือดแห้ง” ให้ระวัง นี่อาจเป็น “กับดัก” (False Breakout)

5. เส้นค่าเฉลี่ย (Moving Averages – MA) “เข็มทิศ” กรองสัญญาณรบกวน

เส้น MA คืออินดิเคเตอร์ที่ง่ายและทรงพลังที่สุด มันคือการนำราคาปิดย้อนหลัง (เช่น 50 วัน หรือ 200 วัน) มาหาค่าเฉลี่ย แล้วพล็อตเป็น “เส้นเดียว”

หน้าที่ของมัน คือการ “กรอง” (Filter) ความผันผวนระยะสั้นที่ไร้สาระ ออกไป และบอก “ทิศทางแนวโน้มหลัก” (Underlying Trend) ให้คุณ

วิธีใช้ที่ง่ายที่สุด

  • ราคา “อยู่เหนือ” เส้น MA (เช่น MA 50 วัน) หมายถึง แนวโน้มระยะกลางเป็น “ขาขึ้น”
  • ราคา “อยู่ใต้” เส้น MA หมายถึง แนวโน้มระยะกลางเป็น “ขาลง”
  • ใช้เป็น “แนวรับ-แนวต้าน” เคลื่อนที่ (Dynamic) หลายครั้งที่ราคาจะร่วงลงมา “แตะ” เส้น MA แล้ว “เด้ง” กลับขึ้นไปต่อในแนวโน้มขาขึ้น
  • Golden Cross / Death Cross (การตัดกันของเส้น MA 2 เส้น) คือสัญญาณคลาสสิกที่เทรดเดอร์ทั่วโลกจับตามอง

การเริ่มต้นศึกษา 5 แนวคิดพื้นฐานนี้ คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการ “ติดอาวุธ” ให้ตัวเองในตลาดคริปโตที่ดุเดือด