ล่าสุดเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งยืนยันในการยุติการชัตดาวน์และเปิดทำการรัฐบาลสหรัฐฯ อีกครั้ง ส่งผลให้หน่วยงานต่าง ๆ รวมถึง SEC สามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติ
หลายฝ่ายมองว่าการเปิดทำการรัฐบาลถือเป็นข่าวดี แต่คำถามคือ สำหรับ Bitcoin แล้ว การกลับมาทำงานของรัฐบาลจะส่งผลดีหรือไม่?
เกิดอะไรขึ้นกับชัตดาวน์ครั้งที่แล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2018-2019 ในขณะที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรก รัฐบาลได้ปิดทำการลงเป็นเวลานานถึง 35 วัน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในช่วงเวลานั้น โดยกินเวลาตั้งแต่ 22 ธันวาคม 2018 ไปจนถึง 25 มกราคม 2019
ในส่วนของราคา Bitcoin จะเห็นได้ว่าในระหว่างการชัตดาวน์ราคามีการเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ แต่หลังจากการชัตดาวน์เสร็จสิ้นราคาของ Bitcoin ได้มีการปรับตัวลดลงมาก่อนที่จะสร้างฐานใหม่และค่อยๆ ไต่ระดับราคาขึ้น
ที่น่าสนใจเลยก็คือ หากมองในภาพใหญ่แล้วจะเห็นได้ว่าในระยะเวลาเพียง 5 เดือนหลังการเปิดรัฐบาล Bitcoin ได้พุ่งทะยานอย่างรุนแรงถึง 323% ก่อนที่จะค่อย ๆ ปรับตัวลงจนโดนวิกฤติ Covid 19 ถล่ม และเริ่มต้นเข้าสู่ขาขึ้นรอบใหญ่อย่างเป็นทางการในปี 2020

จะเกิดอะไรขึ้นถัดจากนี้ ?
สมมติว่า Bitcoin จะมีการปรับตัวขึ้นหลังจากรัฐบาลยุติการชัตดาวน์ ตัวเลขอัตราผลตอบแทน 300% ใน 5 เดือนอาจเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่การที่สถิติสูงสุดใหม่จะถูกจารึกยังคงพอมีหวัง เนื่องจากปี 2025-2026 นี้เป็นปีที่พิเศษยิ่งกว่าปีไหน
อย่างแรกเลย คือตอนนี้ Bitcoin ได้เดินทางมาถึงปลายทางของรอบวัฏจักร 4 ปี ซึ่งว่ากันตามตรงแล้วราคา Bitcoin ควรที่จะเริ่มเข้าสู่ตลาดหมี แต่นักวิเคราะห์หลายรายกลับยังไม่เห็นภาพดังกล่าว พร้อมระบุด้วยว่าวัฏจักร 4 ปีนั้นสิ้นสุดลงแล้ว โดยเหตุผลหลักมาจากการเข้ามาของนักลงทุนสถาบัน และบริษัททุนสำรองสินทรัพย์ดิจิทัล
เดิมทีในตลาดที่เต็มไปด้วยนักลงทุนรายย่อยเมื่อเกิดการเทขายจากเจ้ามือย่อมส่งผลทำให้เกิดอาการ panic sell ส่งผลทำให้ราคาร่วงลงอย่างต่อเนื่อง แต่แรงซื้อจากสถาบันได้เข้ามาดูดซับแรงกระแทกในจุดนี้ทำให้ความผันผวนลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ถัดมา นอกเหนือจากปัจจัยภายในของ Bitcoin แล้ว ปัจจัยภายนอกยังเอื้อประโยชน์ให้แก่สินทรัพย์เสี่ยงเป็นอย่างมากหากทุกอย่างออกมาตรงตามคาด และโลกกลับมาสงบสุขปราศจากสงคราม และสงครามการค้า
เริ่มต้นกันด้วยการยุติการ QT ของเฟด ที่เป็นสัญญาณในการผ่อนปรน นโยบายการเงิน จริงอยู่ว่าการหยุดลดสภาพคล่องในตลาดยังไม่ได้ส่งผลอะไรต่อราคามาก แต่เมื่อไรก็ตามที่เฟดเริ่มการกระตุ้นตลาดด้วย QE ณ จุดนั้น สินทรัพย์เสี่ยงจะพุ่งอย่างรุนแรงเสมอ
ครั้งล่าสุดที่เกิดการ QE ขึ้นคือช่วงปี 2020 ที่เกิดวิกฤต Covid และยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลยังได้มีการแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งในปัจจุบัน ทรัมป์เองก็เสนอแผนที่จะใช้นโยบายแจกเงินปันผลที่ได้จากเงินภาษีนำเข้าให้กับชาวสหรัฐฯ
นอกจากนี้เฟดยังมีแผนที่จะลดอัตราดอกเบี้ยให้ลดลงมากกว่าเดิม โดยหลายฝ่ายเชื่อมั่นว่าเดือนธันวาคมนี้ Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยอีกหน ซึ่งถ้าทุกสิ่งเป็นไปตามคาด ตลาดคริปโตกำลังจะเข้าสู่ขาขึ้นที่แท้จริงอย่างเร็วที่สุดก็ในช่วงปลายปีนี้ไปจนถึงปีหน้า ตามการวิเคราะห์ของ Bitwise
อนาคตที่ยังเป็นกังวล
อย่างไรก็ตาม แม้ทุกอย่างจะดูดีไปหมดแต่ความกังวลถึงวิกฤตฟองสบู่ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักลงทุนเพราะปัจจุบันสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำกลับดีดตัวพุ่งขึ้นสูงไปพร้อมกับสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น ในขณะที่คริปโตยังคงตามหลัง
นักลงทุนจำนวนไม่น้อยมองว่าในขณะนี้เรากำลังอยู่ในจุดฟองสบู่ที่รอวันแตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นเทค และ AI ที่เติบโตเร็วจนผิดปกติ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อใดก็ตามที่ตลาดหุ้นพังทลาย ตลาดคริปโตย่อมได้รับผลกระทบตามไป เนื่องจากเป็นสินทรัพย์เสี่ยง
ซ้ำร้ายเลยก็คือ บริษัทอย่าง Strategy หรือ Bitmine ที่มีการถือครอง Bitcoin และ Ethereum เป็นจำนวนมากในปัจจุบันกำลังแสดงให้เห็นถึงความอ่อนล้าเห็นได้จากราคาหุ้นของพวกเขา ถ้าวันหนึ่งบริษัทเหล่านี้ถูกบังคับขายคริปโตขึ้นมาเราอาจจะได้เห็นการร่วงดิ่งครั้งประวัติศาสตร์และเป็นการเข้าสู่ตลาดหมีโดยสมบูรณ์
