ปีเตอร์ ชิฟฟ์ (Peter Schiff) นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังและไม้เบื่อไม้เมากับวงการคริปโต กลับมาเปิดศึกวิจารณ์ Bitcoin อีกครั้ง โดยคราวนี้หยิบยกประเด็นเรื่อง “กระแสเงินสด” (Cash Flow) มาเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ เขาชี้ว่าในขณะที่บริษัทขุดแร่เงิน กำลังเตรียมรับทรัพย์ก้อนโตจากรายได้ที่คาดว่าจะระเบิดเถิดเทิงในปี 2026 แต่ Bitcoin กลับเป็นสินทรัพย์ที่ “ว่างเปล่า” ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนใดๆ ได้ด้วยตัวมันเอง
Bitcoin = สินทรัพย์ที่ไม่ผลิตอะไรเลย
ชิฟฟ์ย้ำจุดยืนเดิมที่เหล่าสายการเงินดั้งเดิมชอบใช้โจมตี นั่นคือ Bitcoin ไม่มีกลไกภายในที่จะสร้างรายได้หรือผลกำไร มันไม่เหมือนหุ้น Apple ที่ถือแล้วมีสิทธิ์ในกำไรของบริษัท แต่การถือ Bitcoin คือการถือสิทธิ์ในระบบบัญชีเฉยๆ
เขาอ้างแนวคิดของปูชนียบุคคลอย่าง Warren Buffett และ Charlie Munger ที่มองว่าการลงทุนในสิ่งที่ “ไม่ผลิตดอกออกผล” ไม่ใช่การลงทุน แต่เป็นการพนันที่ต้องอาศัยทฤษฎี “Greater Fool Theory” หรือการหวังว่าจะมี “คนโง่กว่า” มารับซื้อต่อในราคาที่แพงขึ้นเท่านั้น ถึงจะทำกำไรได้
เชียร์ “แร่เงิน” สุดตัว ขุมทรัพย์ที่ถูกมองข้าม
ในมุมมองของชิฟฟ์ หุ้นบริษัทเหมืองแร่เงินคือเพชรในตมที่แท้จริง เขาเชื่อว่าราคาหุ้นปัจจุบันยังต่ำกว่ามูลค่าความเป็นจริงมาก และในปี 2026 บริษัทเหล่านี้จะมีผลประกอบการที่เติบโตแบบก้าวกระโดด จากความต้องการใช้แร่เงินในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งต่างจาก Bitcoin ที่ไม่มีพื้นฐานทางธุรกิจมารองรับ เป็นเพียงแค่การเก็งกำไรล้วนๆ
แฉยับ MicroStrategy ลงทุน 5 ปี ได้กำไรแค่ปีละ 3%?
ประเด็นที่เจ็บแสบที่สุดคือการที่ชิฟฟ์งัดเครื่องคิดเลขมาคำนวณผลตอบแทนของบริษัท MicroStrategy (MSTR) ของเจ้าพ่อ Bitcoin อย่าง Michael Saylor โดยชิฟฟ์ชี้ว่าการไล่ซื้อ Bitcoin อย่างบ้าคลั่งทำให้ต้นทุนเฉลี่ยของบริษัทพุ่งสูงขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 75,000 ดอลลาร์ต่อเหรียญ ส่งผลให้กำไรทางบัญชี เหลือเพียง 16% จากพอร์ตทั้งหมด หรือหากคิดเป็นรายปีแล้ว เท่ากับว่า MicroStrategy ทำกำไรได้เพียงแค่ 3% ต่อปี เท่านั้น!
ชิฟฟ์สรุปอย่างเจ็บแสบว่า หาก Saylor เอาเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นเกือบประเภทไหนก็ได้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ป่านนี้บริษัทคงรวยกว่านี้ไปแล้ว
ที่มา: X

