เมื่อห้าปีที่แล้ว มีชายคนหนึ่งที่ชื่อ campbell simpson ได้โยนฮาร์ดดิสก์ของเขาที่มี Bitcoin จำนวน 1,400 BTC ทิ้งไป โดยฮาร์ดดิสก์ดังกล่าวเป็นฮาร์ดดิสก์แบบพกพาขนาด 250GB ธรรมดา ๆ ที่มีอายุมาหลายปีแล้ว ทั้งมีรอยตำหนิ และรอยขีดข่วนอยู่สองสามแห่งบนตัวเครื่อง แถมเริ่มมีเสียงคลิ๊กเบา ๆ แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะราคา Bitcoin ยังไม่สูง
ข้อมูลเพียงไม่กี่กิโลไบต์บนฮาร์ดดิสก์ตัวนั้น ปัจจุบันมีมูลค่ามหาศาล ซึ่ง Bitcoin จำนวน 1,400 BTC ปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 96,980,000 ดอลลาร์
เขาได้ซื้อ Bitcoin บางส่วน
ช่วงเวลานั้นตรงกับตอนที่เขาได้ย้ายออกจากบ้าน ตอนนั้นเขาเลิกกับแฟน และเขาได้โอนเงินผ่าน PayPal ให้กับคนแปลกหน้าจากอีกซีกหนึ่งของโลกไปด้วยเงินไม่กี่ดอลลาร์ เพื่อแลกกับการทำธุรกรรมดิจิทัลของสกุลเงินปลอม ๆ ที่แทบจะไม่มีค่าอะไรเลย
ซึ่งเมื่อตอนต้นปี 2010 การซื้อขาย Bitcoin ยังไม่ใช่เรื่องแพร่หลาย การจะหาแหล่งที่จะซื้อ Bitcoin (BTC) นั้นค่อนข้างยาก วิธีที่ง่ายที่สุดในการสะสม Bitcoin ก็คือ การขุด โดยใช้ CPU ของคอมพิวเตอร์ ต่อมาก็เปลี่ยนมาใช้การ์ดจอภาพ และสุดท้ายก็กลายเป็นการใช้ฮาร์ดแวร์เฉพาะทางที่มีราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งการขุด Bitcoin เปรียบเหมือนการสร้างสกุลเงินดิจิทัลขึ้นมาจากอากาศเบา ๆ โดยมีเพียงแค่ค่าไฟฟ้าและการประมวลผลของ CPU เป็นต้นทุน
แต่แล้วอยู่ ๆ เขาก็ไปเจอเว็บไซต์หรือฟอรัม (จำไม่ได้แน่ชัดว่าอะไร) ที่มีคนประกาศขาย Bitcoin อยู่ ตอนนั้นเขาจำได้ว่า เขาจ่ายเงินไปมากกว่าราคาแลกเปลี่ยนกลาง ๆ ของ Bitcoin อยู่พอสมควร โดยตอนนั้นคงไม่มีใครจะไปสนใจกับเศษสตางค์แค่ 1.2 เซนต์ กับ 1.5 เซนต์ ซึ่งเขาก็จ่ายเงินไปแค่ประมาณ 25 ดอลลาร์ เนื่องจากเขาเพิ่งไปอ่านเจอเรื่องราวสนุก ๆ เกี่ยวกับ Bitcoin (ที่น่าจะมาจากนิตยสาร WIRED) เลยอยากจะลองศึกษา Bitcoin ดูซักหน่อย เขาก็เลยตัดสินใจซื้อ Bitcoin มา
สุดท้ายเขาก็ได้เก็บ Bitcoin เหล่านั้นไว้ในกระเป๋าเงินแบบ Cold Storage ซึ่งเป็นไฟล์แบบออฟไลน์อยู่นอกเหนือระบบธนาคาร แอปพลิเคชันแลกเปลี่ยน หรือที่เก็บข้อมูลดิจิทัลใด ๆ มันเป็นไฟล์ข้อความธรรมดาที่มีรหัสแฮชเข้าแบบรหัสยาวๆ ซึ่งเปรียบเหมือนกับคีย์สำคัญในการเข้าถึงข้อมูล
เขากล่าวว่า ไม่ไว้ใจบริการออนไลน์ใด ๆ เลย เพราะกลัวว่า ระบบจะล่มแล้วทำให้เงินที่ลงทุนหายไปหมด
เขาย้ายข้อมูล Bitcoin ไปเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์
ฮาร์ดดิสก์ตัวนั้นเขาใช้เก็บสารพัด ไม่ว่าจะเป็นเพลง หนัง และซีรีส์เถื่อน โฟลเดอร์รวมผลงานเขียนด้านเทคโนโลยีเจ๋งๆ ของเขาเอง, ไฟล์งานมหาวิทยาลัยทั้งหมด, รูปถ่ายเพื่อน ครอบครัว และรูปทริปพักผ่อนสองสามครั้งที่เขาเคยไป ซึ่งเขายังพกฮาร์ดดิสก์ตัวนี้ไปด้วยตอนย้ายออกจากบ้านกับแฟนสาวคนเดิม เหมือนกับเป็นอุปกรณ์สารพัดประโยชน์ สำหรับการใช้งานทั่วไปของฮาร์ดดิสก์แบบพกพาเลย
หลังจากนั้นหนึ่งปี เขาก็เลิกกับแฟน และย้ายกลับบ้าน ตอนที่กำลังย้ายออก เขาใช้โอกาสนี้ในการจัดการกับเศษเทคโนโลยีที่สะสมมานานในฐานะนักข่าวสายเทคโนโลยี พวกอุปกรณ์อย่างแฟลชไดร์ฟ , แว่น 3 มิติ , สาย USB อะไหล่คอมพิวเตอร์ ของพวกนี้ ได้กลายเป็นเศษขยะ ทั้งกอง นั้นจึงจบลงด้วยการถูกขนไปทิ้งทั้งหมด
ซึ่งฮาร์ดดิสก์ตัวนั้นก็อยู่รวมอยู่ในกองขยะนี้ด้วย แถมมันยังมีเสียงคลิ๊กที่น่ารำคาญ ตอนนั้นเขาก็มีฮาร์ดดิสก์แบบพกพาอันใหม่ที่ดีกว่าอยู่
ฮาร์ดดิสก์ตัวนั้น ไม่มีอะไรที่เขาต้องการหรือสนใจอีกแล้ว รูปภาพทั้งหมดถูกสำรองไว้ในฮาร์ดดิสก์แบบพกพาอีกอัน บทความที่เขียนก็เก็บไว้ใน Google Drive ส่วนเพลงก็อยู่ในคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะของเขา เขาจึงโยนฮาร์ดดิสก์ตัวนั้นทิ้งไป
ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไรมาก
ช่วงสองสามเดือนหลังจากนั้น เขากลับมาจำเรื่อง Bitcoin ได้อีกครั้ง เพราะมีบางอย่างบนฮาร์ดดิสก์ เป็นไฟล์หนังโฆษณาของ BMW ชุด The Hire ที่ใช้ดาราดังอย่าง Clive Owen แสดง ซึ่งหนังชุดนี้หายากมากในอินเตอร์เน็ต ตอนนั้นการที่นึกถึงหนังโฆษณาชุดนี้บนฮาร์ดดิสก์ได้ มันทำให้เขานึกถึงข้อมูลอื่น ๆ ที่เคยเก็บไว้บนนั้นด้วย ซึ่งรวมไปถึง “สัญลักษณ์ดิจิทัล (digital marker) ” เล็ก ๆ สำหรับ Bitcoin ประมาณ 1,400 BTC
ตอนที่เขานึกได้ว่า ตัวเขาเองได้โยนฮาร์ดดิสก์ที่เก็บ Bitcoin เอาไว้ไปทิ้ง เขาโมโหอย่างมาก ในวันที่เขาเพิ่งรู้ตัวว่า จริง ๆ แล้วตัวเขาเองได้โยน Bitcoin ทิ้งไปกี่เหรียญ ซึ่งราคา Bitcoin มันก็พุ่งขึ้นไปอย่างมาก จากตอนที่เขาซื้อ Bitcoin ในช่วงนั้น ราคา Bitcoin มันแทบจะไม่มีค่าเลย แต่พอเขารู้ตัวอีกที ราคามันพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 2.50 ดอลลาร์ ต่อ 1 BTC ซึ่งเขาน่าจะขาดทุนไปประมาณ 4,000 ดอลลาร์ อีกทั้งในช่วงนั้น เขาก็เพิ่งเป็นหนี้ไปก้อนนึง จากทริปเที่ยวญี่ปุ่น หากได้เงินจำนวนนั้นมันคงจะช่วยเขาได้เยอะเลย
เขากล่าวว่า “เอาจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ มันเป็นแค่ช่วงเวลาที่รู้สึกว่า “ชิบหาย ” แบบที่ใครๆ ก็เคยเป็นกันเป็นประจำอยู่แล้ว อย่างเช่น เวลาโดนใบสั่งจอดรถผิดกฎหมาย หรือ ลืมส่งบัตรวันเกิดให้เพื่อนที่อยู่ต่างประเทศ คงเป็นเรื่องประมาณนี้แหละตอนนั้น และแน่นอนว่า มันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะยังไม่มีใครรู้หรอกว่า อนาคตจะเป็นยังไง จำได้ว่าช่วงนั้นผมน่าจะได้เลื่อนตำแหน่ง ซึ่งมันก็ช่วยชดเชยเงินที่หายไปก้อนนั้นได้สบาย ๆ ตอนนั้น Bitcoin มันก็แค่กระแสความสนุก ๆ อยู่เท่านั้นเอง แต่ตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่า ผมตัดสินใจผิดพลาด ”
นับตั้งแต่ตอนที่ทิ้งเขาฮาร์ดดิสก์ไป ทุกครั้งที่เขาเห็นข่าว Bitcoin ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขารายงานข่าวในเว็บ Gizmodo หรือข่าวสารเกี่ยวกับเหตุการณ์โลก อย่างมัลแวร์ WannaCry เขาก็อดไม่ได้ที่จะเช็คดูราคา Bitcoin อยู่เสมอ ตั้งแต่ปี 2011 นั้น Bitcoin ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
บางครั้ง เวลาที่เขาคำนวณคร่าว ๆ ถึงมูลค่า Bitcoin ที่มันควรจะมีอยู่ในฮาร์ดดิสก์ตัวนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายและส่ายหัวเบาๆ
ตอนนี้ราคา Bitcoin กำลังพุ่งสูงขึ้น ทำสถิติใหม่ทั้งในสกุล USD และ AUD ถ้าสมมติว่าตอนนี้เขายังมี Bitcoin จำนวน 1,400 BTC จะมีมูลค่ามหาศาลเลยทีเดียว แน่นอนว่า ราคา Bitcoin มีความผันผวนสูง เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง แต่ช่วงนี้ราคากำลังพุ่งทะยานแรง ตอนที่เขาทวีตเรื่องนี้ครั้งแรก ราคา Bitcoin อยู่ที่ประมาณ 4.2 ล้านดอลลาร์ แต่แค่สองวัน ราคาก็ขึ้นไปอีกถึง 15% และในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ราคาก็เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 80% จากราคาตอนนั้น
Bitcoin ในฮาร์ดดิสก์ ที่หายไป ?
สองสามวันที่ผ่านมา นับตั้งแต่ที่เขาได้แชร์เรื่องราวนี้ออกไป เขาก็ได้รับการติดต่อจากเพื่อน และคนแปลกหน้า พร้อมกับคำแนะนำและข้อเสนอแนะบางอย่าง เกี่ยวกับวิธีการหา Bitcoin ของเขา
เขากล่าวว่า “น่าเสียดายที่การตามหาฮาร์ดดิสก์ที่ทิ้งไปนั้นค่อนข้างยาก เพราะถึงแม้ว่า หลุมฝังกลบ จะมีการจัดการที่ดีและแบ่งแยกตามชั้น แต่ขยะของเราก็จะถูกทิ้งรวมอยู่กับขยะอื่นๆ ที่ทิ้งในช่วงเวลานั้นๆ ถึงแม้จะมีการบันทึกวันที่และสถานที่ที่ทิ้งขยะ รวมถึงเบาะแสอื่น ๆ ที่อาจจะช่วยนำไปสู่ฮาร์ดดิสก์ที่มีตำหนิของเราได้ แต่โอกาสที่จะตามหาเจอก็ยังน้อยอยู่ดี”
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังสามารถลองติดต่อกับหน่วยงานที่กำจัดขยะหรือหน่วยงานราชการ ในพื้นที่ที่เขาเคยเช่าอพาร์ทเมนต์อยู่นั้น เผื่อว่าเจ้าหน้าที่อาจจะช่วยเหลือเขาในการค้นหาได้บ้าง ซึ่งตำรวจเองก็ได้ใช้วิธีการติดต่อหน่วยงานเหล่านี้ในการตามหาหลักฐานอยู่เป็นประจำ
เขากล่าวว่า “เพื่อนคนหนึ่งแนะนำว่า ผมอาจจะต้องหาคนที่ยินดีจะร่วมเสี่ยงด้วยสักคน โดยที่คน ๆ นั้นจะได้รับส่วนแบ่ง 1 ใน 4 เพื่อเป็นการจูงใจให้พวกเขาเหล่านั้นช่วยติดตามค้นหาฮาร์ดดิสก์ แต่คำถามที่น่าสนใจคือ ถ้าหากมีคนอื่น ที่เจอฮาร์ดดิสก์นั้น – ซึ่งเคยเป็นของผมก่อนล่ะ ? ผมจะมีสิทธิ์อะไรกับไฟล์ข้อความนั้นอยู่อีกหรือไม่ ?
สุดท้ายเขาก็ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “แม้ว่าโอกาสที่จะได้ Bitcoin คืนมานั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่จริงๆ แล้ว ผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรมากมาย กับการสูญเสีย Bitcoin เหล่านั้น ชีวิตผมตอนนี้มีความสุขดี ผมไม่จำเป็นต้องมี Bitcoin ก็ได้ ถึงแม้ว่ามันจะมีค่า แต่ผมก็ไม่ได้เดือดร้อน นี่ไม่ใช่การมองโลกในแง่ดีแบบโลกสวยที่ว่า “คุณค่าที่แท้จริงอยู่ที่มิตรภาพที่เราได้พบเจอระหว่างทาง” หรืออะไรประมาณนั้น แต่ผมแค่อยากจะบอกว่า ผมยอมรับกับการสูญเสีย Bitcoin เหล่านั้นแล้ว บทเรียนบทนี้ของชีวิตผมได้จบลงแล้ว”
ที่มา : gizmodo