นักวิเคราะห์จาก Bernstein บริษัทวิจัยและโบรกเกอร์ชั้นนำ ระบุว่า stablecoin ซึ่งเป็นเหรียญที่มีมูลค่าผูกกับสกุลเงิน fiat อย่างเช่นดอลลาร์สหรัฐ กำลังมีบทบาทสำคัญในระบบการเงินมากขึ้นเรื่อยๆ
รายงานเผยว่า ผู้ออก Stablecoin อย่าง Tether (USDT) และ Circle (USDC) กำลังกลายเป็นหนึ่งในผู้ถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รายใหญ่ลำดับที่ 18 ของโลก ซึ่งเทียบเท่ากับประเทศมหาอำนาจหลายประเทศ เช่น ซาอุดีอาระเบีย และมากกว่าประเทศเกาหลีใต้
จากรายงาน Tether และ USDC ถือพันธบัตรสหรัฐฯ รวมกันกว่า 125 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้ธุรกิจ stablecoin ทำกำไรได้สูง ตัวอย่างเช่น Tether ที่ทำกำไรสุทธิกว่า 5.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรกของปี 2024 ที่ผ่านมา
ในด้านการใช้งาน, ปริมาณการชำระเงินผ่าน stablecoin บน blockchain ได้เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา โดยมียอดชำระเงินถึง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่ง stablecoin คิดเป็นสัดส่วนราว 50% ของธุรกรรมทั้งหมดบน blockchain
นอกจากนี้ จำนวนผู้ใช้งานต่อเดือนเพิ่มสูงขึ้นแตะที่ 22 ล้านบัญชี ในขณะที่มีบัญชี stablecoin ที่มียอดคงเหลือมากถึง 120 ล้านบัญชีทั่วโลก อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่า stablecoin กำลังถูกใช้งานในกรณีที่ไม่เกี่ยวข้องกับคริปโตมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น การชำระเงินข้ามประเทศ เป็นต้น
สิ่งที่น่าจับตามองคือ ตลาด stablecoin ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ PayPal และ Paxos ที่ได้ออกเหรียญ PYUSD ที่มียอดหมุนเวียนใกล้แตะ 1 พันล้านดอลลาร์แล้ว ในขณะที่ Ripple เองก็มีแผนจะออก stablecoin สำหรับการชำระเงินข้ามประเทศ และบริษัท fintech อย่าง Revolut ก็เตรียมเข้ามาในตลาดนี้เช่นกัน
ซึ่งปัจจัยที่ขับเคลื่อนการเติบโตของ stablecoin นั้นเกิดมาจากหลายปัจจัยเช่น การให้ผู้ใช้ต่างชาติสามารถเข้าถึงการออมเงินในดอลลาร์สหรัฐ การนำเงินดิจิทัลออกนอกสหรัฐฯ การใช้เป็นสกุลเงินหลักในการเทรดคริปโต รวมถึงการโอนเงินข้ามประเทศในค่าธรรมเนียมที่ต่ำมาก
ในปัจจุบัน มูลค่าตลาดของ stablecoin อยู่ที่เกือบ 180 พันล้านดอลลาร์ ซึ่ง USDT ของ Tether ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดใหญ่ที่สุดราว 120 พันล้านดอลลาร์ ตามด้วย USDC ของ Circle ที่ราว 35 พันล้านดอลลาร์ โดย Ethereum เป็น blockchain ที่มีปริมาณการทำธุรกรรม stablecoin สูงที่สุด คิดเป็น 45% ของทั้งหมด
ที่มา: TheBlock