<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เปิดประวัติ “พ่อรวยสอนลูก-Robert Kiyosaki” เขาเป็นใครทำไมคอมมูคริปโตถึงชอบเขา?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

สำหรับใครที่ติดตามข่าวสารวงการลงทุนหรือวงการคริปโตมาอย่างยาวนานคงจะคุ้นเคยกับชื่อ “Robert Kiyosaki” ผู้แต่งหนังสือชื่อดัง “พ่อรวยสอนลูก” กันมาบางแล้ว แต่ตัวเขานั้นมีประวัติที่มาอย่างไร และทำไมถึงกลายมาเป็นบุคคลที่วงการคริปโตต้องติดตาม ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านมารู้จักกับเขาให้มากขึ้น

เขาคือใคร?

Robert Toru Kiyosaki เป็นนักธุรกิจเชื้อสายญี่ปุ่น-อเมริกัน ตัวเขาเกิดเมื่อวันที่ 8 เมษายน 1947 และเติบโตขึ้นมาในเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อ Hilo ในเกาะฮาวาย โดยมีบิดาที่ชื่อ Ralph H. Kiyosaki ซึ่งเขามักจะกล่าวถึงบิดาของเขาในฐานะ “Poor Dad” ในหนังสือของเขา

ต่อมาในช่วงชีวิตวัยรุ่นของเขา Kiyosaki ได้ย้ายไปอยู่ New York เพื่อศึกษาเล่าเรียน โดยตัวเขาจบการศึกษาจาก Kings Point Merchant Marine Academy และได้รับใช้ชาติในสงครามเวียดนามในฐานะนักบินเฮลิคอปเตอร์ เมื่อสงครามสงบเข้าได้เข้าเรียน MBA แต่ก็ลาออกมาหลังจากเริ่มเรียนได้ 6 เดือนเพราะผู้สอนไม่มีความสามารถเพียงพอ ซึ่งต่อมาเขาก็ได้ไปร่ำเรียนกับไอดอลของเขา R. Buckminster Fuller สถาปนิกชื่อดังที่จะเปลี่ยนมุมมองทางการเงินของ​ Kiyosaki ไปตลอดกาล

เขาโด่งดังขึ้นมาจากไหน?

โรเบิร์ต คิโยซากิ ที่เรารู้จักกันในฐานะนักเขียนและนักให้ความรู้ทางการเงินชื่อดัง จริง ๆ แล้วเขาเริ่มต้นชีวิตการทำงานแบบธรรมดาสุด ๆ ในฐานะพนักงานขายเครื่องถ่ายเอกสารของบริษัท Xerox แต่ใครจะรู้ว่าคนที่เคยเป็น “เซลส์แมน” คนหนึ่ง จะกลายมาเป็น “พ่อรวย” ที่หลายคนยึดเป็นแบบอย่างในวันนี้

ในปี 1978 คิโยซากิเริ่มต้นทำธุรกิจครั้งแรก แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ทำให้ต้องล้มละลายและเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ แต่สิ่งที่เขาไม่เคยทิ้งคือความมุ่งมั่นและการเรียนรู้จากความผิดพลาด เขาใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์ผ่านการทำธุรกิจและการลงทุน จนในปี 1993 เขาตัดสินใจเขียนหนังสือเล่มแรกชื่อ “If You Want to Be Rich and Happy, Don’t Go To School” ซึ่งพูดถึงแนวคิดที่แตกต่างออกไปในเรื่องการศึกษาและการเงิน

หนังสือเล่มนี้แม้จะไม่ได้โด่งดังมาก แต่ก็เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการเข้าสู่โลกของการให้ความรู้ทางการเงิน หลังจากนั้นอีก 3 ปี ในปี 1996 เขาและ คิม คิโยซากิ ภรรยาคู่ชีวิต ได้ร่วมกันสร้างธุรกิจบอร์ดเกมที่ชื่อว่า Cash Flow ซึ่งเป็นเครื่องมือสอนคนให้เข้าใจเรื่องเงินและการลงทุนในแบบสนุก ๆ ที่ได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้

แต่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตของเขามาถึงในปี 1997 เมื่อเขาปล่อยหนังสือ “Rich Dad Poor Dad” หรือที่เรารู้จักในชื่อ พ่อรวยสอนลูก หนังสือเล่มนี้ได้รับการตอบรับถล่มทลายและเปลี่ยนชีวิตเขาให้กลายเป็นบุคคลที่คนทั่วโลกจับตามอง ด้วยการเล่าเรื่องราวที่เข้าใจง่ายและเปรียบเทียบระหว่างแนวคิดของ “พ่อรวย” และ “พ่อจน” ทำให้หนังสือเล่มนี้ติดอันดับขายดีและถูกแปลไปหลายภาษาในหลายประเทศ

รายได้ของคิโยซากิไม่ได้มาจากหนังสือเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากการขายลิขสิทธิ์หนังสือถึง 27 เล่ม การจัดสัมมนา การขายคอร์สออนไลน์ รวมถึงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจต่าง ๆ ด้วย ปัจจุบัน มีการประเมินว่าเขามีสินทรัพย์รวมกว่า 100 ล้านดอลลาร์

ดราม่าเป็นหนี้

พ่อรวยสอนลูก มีมุมที่หลายคนอาจยังไม่รู้ โดยเมื่อต้นปี 2024 มีรายงานจาก Yahoo! Finance ระบุว่าเขามีหนี้สินมากถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์ หรือราว ๆ 4.1 หมื่นล้านบาท แต่ที่น่าสนใจกว่าคือ คิโยซากิกลับมองว่าหนี้มหาศาลนี้ไม่ใช่ปัญหา แต่คือ “บทเรียน”

เขาเคยกล่าวไว้ว่า “เหตุผลที่ผมรวยมาก เพราะผมเป็นหนี้” โดยในบริบทของเขา หมายถึงการใช้ “หนี้ดี” ซึ่งเป็นเงินกู้ที่นำไปลงทุนเพื่อสร้างรายได้ เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรือสินทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่า แนวคิดนี้ดูจะสวนทางกับคำแนะนำเรื่องการเงินแบบดั้งเดิม ที่มักจะบอกให้หลีกเลี่ยงหนี้สิน แต่คิโยซากิมองว่า “ถ้าคุณเข้าใจมันและใช้มันเป็น หนี้จะกลายเป็นเพื่อนของคุณ”

แม้แนวคิดนี้จะดูทรงพลัง แต่ในอดีตของเขาก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป หนึ่งในเรื่องที่สะเทือนความเชื่อมั่นของเขาคือในปี 2012 บริษัท Rich Global LLC ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทของเขา ถูกศาลสั่งให้จ่ายเงินค่าเสียหายกว่า 23.7 ล้านดอลลาร์ ให้กับ The Learning Annex ซึ่งเป็นผู้จัดสัมมนาให้เขาในอดีต คิโยซากิเลือกที่จะยื่นล้มละลายสำหรับบริษัทนั้นเพื่อจัดการภาระทางกฎหมาย แต่สิ่งนี้ไม่ได้กระทบถึงตัวเขาโดยตรง เนื่องจากเขายังมีบริษัทอื่น ๆ และทรัพย์สินที่สร้างรายได้มหาศาล

ทำไมนักเทรดคริปโตถึงชอบเขา?

เหตุผลที่ทำให้โรเบิร์ต คิโยซากิ กลายเป็นขวัญใจของสายเทรดคริปโต คงหนีไม่พ้นการที่เขามักจะโพสต์เกี่ยวกับ Bitcoin อยู่บ่อย ๆ ในโซเชียลมีเดียส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นการให้เป้าหมายราคาที่น่าตื่นเต้น หรือแชร์มุมมองส่วนตัวที่มีต่อ Bitcoin และคริปโตโดยรวม

คิโยซากิเคยพูดว่าเขามอง Bitcoin เป็นมากกว่าสินทรัพย์ดิจิทัล แต่เป็น “ที่หลบภัย” ในโลกที่ค่าเงินดอลลาร์กำลังเสื่อมค่า เขาเปรียบมันเหมือน “ทองคำดิจิทัล” ที่สามารถรักษาความมั่งคั่งในระยะยาวได้ เพราะในมุมมองของเขา ระบบการเงินโลกที่พึ่งพาเงินเฟียต (Fiat Money) กำลังมีปัญหาหนัก โดยเฉพาะเงินดอลลาร์ที่เขาเชื่อว่ากำลังอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องจากการพิมพ์เงินจำนวนมาก

เขายังเคยโพสต์ข้อความเชิงเตือนให้ผู้คนเตรียมรับมือกับเศรษฐกิจที่อาจพังทลาย โดยแนะนำให้ถือ Bitcoin, ทองคำ (Gold), และเงิน (Silver) เพื่อป้องกันความเสี่ยง และเขามักจะพูดถึง Bitcoin ว่าเป็น “โอกาสของคนรุ่นใหม่” ที่สามารถสร้างความมั่งคั่งในยุคที่เศรษฐกิจไม่แน่นอนได้

นอกจากมุมมองที่เข้มข้นแล้ว สไตล์การสื่อสารของเขายังโดนใจสายเทรด เพราะตรงไปตรงมา และมีความมั่นใจในสิ่งที่เขาเชื่อ เช่น การให้เป้าหมายราคาของ Bitcoin ว่าอาจพุ่งสูงถึง 100,000 ดอลลาร์ หรือมากกว่านั้นในอนาคต ซึ่งสร้างความฮือฮาและทำให้นักลงทุนรุ่นใหม่หันมาสนใจติดตามเขามากขึ้น

ผู้เขียน “พ่อรวยสอนลูก” ยอมรับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ Bitcoin แต่ยังคงเชื่อมั่น

ย้อนกลับไปวันที่ 24 มกราคม พ่อรวยสอนลูก ได้ออกมาเปิดเผยในรายการ The Rich Dad Radio Show ว่า ตัวเขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ Bitcoin และสินทรัพย์ทางการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) เลย แม้จะสนับสนุนให้ผู้คนสะสมทองคำ เงิน และ Bitcoin อยู่เสมอ เขาเผยว่าสาเหตุที่เชื่อใน Bitcoin เป็นเพราะคนฉลาดหลายคนลงทุนในสินทรัพย์นี้ และตัวเขาก็โชคดีที่ได้เริ่มต้นสะสมมันตั้งแต่เนิ่น ๆ

คิโยซากิกล่าวว่า Bitcoin อาจไม่ใช่สิ่งที่เขาเข้าใจลึกซึ้ง แต่เขาเชื่อในศักยภาพของมันที่ถูกสนับสนุนโดยคนรุ่นใหม่ที่กล้าทดสอบว่ามันสามารถเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในระยะยาวได้หรือไม่ เขายังเน้นถึงปัญหาของระบบการเงินดั้งเดิมที่อยู่ในสภาวะย่ำแย่ และมองว่า Bitcoin เป็นทางเลือกในการป้องกันความมั่งคั่งหากเศรษฐกิจโลกพังทลาย

แม้เขาจะไม่เชี่ยวชาญเรื่อง Bitcoin แต่คิโยซากิยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ ด้วยการสนับสนุนแนวคิดการลงทุนที่ต้านทานระบบการเงินแบบเก่า นอกจากนี้ เขายังคาดการณ์ว่า หากเศรษฐกิจโลกเกิดวิกฤติครั้งใหญ่ Bitcoin อาจพุ่งขึ้นแตะระดับ 1 ล้านดอลลาร์ และกลายเป็นทรัพย์สินสำคัญในยุคที่เงินดอลลาร์กำลังเสื่อมค่าอย่างรุนแรง

ที่มา : Coingape