รายงานล่าสุดจาก Chainalysis บริษัทความปลอดภัยไซเบอร์ได้เผยว่า ตลอดปี 2024 ที่ผ่านมาจำนวนการโจรกรรมและการแฮ็กในโลกคริปโตเพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อนหน้า โดยในปีนี้เหล่าแฮกเกอร์ได้สร้างความเสียหายให้กับตลาดคริปโตมากถึง 2.2 พันล้านดอลลาร์จากเหตุการณ์ทั้งหมด 303 ครั้ง ในขณะที่จำนวนการโจมตีมีความรุนแรงเป็นพิเศษในช่วงครึ่งปีแรกมีมากถึง 72% ของความเสียหายทั้งหมด
จากการโจมตีทั้งหมด แพลตฟอร์มการเงินแบบรวมศูนย์ (CeFi) กลายเป็นเป้าหมายหลักด้วยมูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นเกือบ 1,000% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยตัวอย่างเหตุการณ์สำคัญ ได้แก่ การโจมตี WazirX จากอินเดียในเดือนกรกฎาคมที่สูญเสีย 235 ล้านดอลลาร์, การแฮ็ก DMM Exchange ในญี่ปุ่นที่เสีย Bitcoin มูลค่า 305 ล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม และการรั่วไหลของ Private Key บนแพลตฟอร์ม PlayDapp ของเกาหลีใต้ในเดือนกุมภาพันธ์ที่สร้างความเสียหาย 290 ล้านดอลลาร์
สิ่งที่น่าสนใจคือการโจมตีที่พุ่งเป้าไปยัง Private Key โดยคิดเป็น 43.8% ของความเสียหายทั้งหมดในปีนี้ ซึ่งทาง Chainalysis ระบุว่าเหตุการณ์แฮ็กครั้งใหญ่ที่สุด เช่น การโจมตี DMM Exchange ที่มีมูลค่าความเสียหายมากถึง 305 ล้านดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการจัดการ Private Key และมาตรการความปลอดภัยที่ยังไม่เพียงพอ
นอกจากนี้ ความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Quantum Computing ทำให้การโจมตีมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น ฟิชชิ่งที่สร้างโดย AI และการใช้ Deepfake โดยผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าภัยคุกคามเหล่านี้จะพัฒนาอย่างต่อเนื่องในปี 2025 ทั้งในแพลตฟอร์ม CeFi และ DeFi การป้องกันที่เหมาะสม เช่น การตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์และการป้องกันล่วงหน้า จะเป็นสิ่งจำเป็น
ในด้านการป้องกัน Phil Larratt จาก Chainalysis ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการพิสูจน์ตัวตนแบบหลายชั้น (MFA) และการเก็บสินทรัพย์ใน Cold Storage อย่างไรก็ตาม Hardware Wallet อย่าง Ledger ก็ยังมีความเสี่ยงจากการโจมตีฟิชชิ่งซึ่งเป็นปัญหาต่อเนื่องจากกรณีข้อมูลหลุดในปี 2020
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญยังเน้นถึงความสำคัญของการปรับเปลี่ยนไปใช้ Quantum-Safe Protocols เพื่อรับมือกับความเสี่ยงจาก Quantum Computing ซึ่งเป็นภัยระยะยาวที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ชิปควอนตัม “Willow” ที่ Google เปิดตัวเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งมีศักยภาพสูงในการประมวลผลและแก้ไขข้อผิดพลาด
ที่มา: Cointelegraph