รายงานล่าสุดจาก Fidelity Digital Assets ได้ออกมาเตือนว่า รัฐบาลที่เพิกเฉยต่อการจัดสรร Bitcoin อาจต้องเผชิญความเสี่ยงที่รุนแรงกว่าประเทศที่เริ่มปรับตัวใช้มัน
ตามการวิเคราะห์ของ Matt Hogan พบว่า หลายประเทศมี Bitcoin ผ่านการยึดทรัพย์จากการกระทำผิดกฎหมาย แต่กลับยังไม่มีแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการรวม Bitcoin ไว้ในทุนสำรองของประเทศ อาจพลาดโอกาสในการลงทุนระยะยาว
โดยปัจจุบัน ประเทศที่มี Bitcoin มากที่สุดในระดับรัฐบาล ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน ยูเครน ภูฏาน และเอลซัลวาดอร์ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ถือครอง Bitcoin ประมาณ 198,109 BTC มูลค่ากว่า 20.171 พันล้านดอลลาร์ ที่ได้มาจากการยึดทรัพย์ในคดีอาชญากรรมโดยเฉพาะจากคดี Silk Road
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ยังไม่ได้รวม Bitcoin เข้ากับทุนสำรองของประเทศอย่างเป็นทางการ เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ต้องประมูลสินทรัพย์ที่ยึดมา ทำให้ศักยภาพการใช้งานยังคงมีข้อจำกัด
ในขณะเดียวกัน ภูฏานและเอลซัลวาดอร์เป็นตัวอย่างของประเทศที่เริ่มนำ Bitcoin มาใช้ในนโยบายเศรษฐกิจและได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจ โดยเฉพาะเอลซัลวาดอร์ที่ประกาศให้ Bitcoin เป็นเงินที่ถูกกฎหมายตั้งแต่ปี 2021 ซึ่งนอกจากจะดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ยังทำกำไรได้จากราคาของ Bitcoin ที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ทางด้านสหรัฐฯ เอง วุฒิสมาชิก Cynthia Lummis ได้เสนอ “Bitcoin Act” เพื่อให้กระทรวงการคลังซื้อ Bitcoin จำนวน 1 ล้าน BTC ภายใน 5 ปีข้างหน้า และเก็บไว้ในทุนสำรองอย่างน้อย 20 ปี โดยมองว่าเป็นกลยุทธ์ป้องกันเงินเฟ้อและเสริมเสถียรภาพให้กับดอลลาร์ในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม Fidelity ชี้ว่าหลายประเทศอาจกำลังสะสม Bitcoin อย่างลับๆ โดยหากเปิดเผยกลยุทธ์นี้ อาจทำให้ความต้องการเพิ่มขึ้นและราคาพุ่งสูง ส่งผลให้การซื้อในราคาที่แข่งขันได้กลายเป็นเรื่องยาก ซึ่งการสะสมแบบลับๆ นี้อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจโลกในอนาคต
และด้วยกระแสการยอมรับ Bitcoin ที่เพิ่มขึ้นในทั้งระดับประเทศและเอกชน ทำให้ปี 2025 อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการที่รัฐบาลทั่วโลกปรับมุมมองและกลยุทธ์เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลนี้ Bitcoin จะกลายเป็น “ทองคำดิจิทัล” ในทุนสำรองระดับโลกหรือไม่ คำตอบยังต้องติดตามกันต่อไป
ที่มา: Crypto-economy