World หรือที่เดิมรู้จักกันในนาม Worldcoin ได้ประกาศถึงความสำเร็จครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญของโปรเจกต์ โดยระบุว่าปัจจุบันโปรเจกต์มีผู้ลงทะเบียนยืนยันตัวตนกับทางเครือข่ายแล้วกว่า 10 ล้านรายทั่วโลก
การยืนยันตัวตนดังกล่าว จะเป็นการเก็บข้อมูลทางชีวภาพ เพื่อสร้าง “หลักฐานการเป็นมนุษย์” (proof of personhood) ซึ่งเป็นตัวระบุที่ยืนยันว่าบุคคลนั้นเป็นมนุษย์จริง และเป็นบุคคลใด ผ่านเครือข่ายของอุปกรณ์ Orbs ซึ่งผู้ที่ทำการยืนยันตัวตนแล้วก็จะมีหลักฐานยืนยันตัวตนในโลกของดิจิทัล
ทางบริษัทผู้เกี่ยวข้องเปิดเผยว่าระบบ proof of personhood มีความจำเป็นอย่างมากในยุคสมัยที่เทคโนโลยี AI มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันจะมาทำให้ข้อมูลที่เราใช้งานอยู่นั่นเริ่มขาดความน่าเชื่อถือ และเป็นการการันตีว่า “มนุษย์” จะยังคงไว้ซึ่งอำนาจ และเป็นผู้สร้างสรรค์ในยุคที่โลกกำลังถูกสร้างด้วย AI
อย่างไรก็ตามเส้นทางของ Worldcoin ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เนื่องจาก ดิจิทัลไอดี (Digital ID) กำลังเป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างหนักเนื่องจากมันเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นส่วนตัว และอาจถูกหน่วยงานที่มีอำนาจเช่นรัฐใช้อำนาจแทรกแซงในทางที่ผิด
ขณะเดียวกันรัฐบาลนานาประเทศก็ได้มีความเคลื่อนไหวและต้องการสกัดกั้นโปรเจกต์ของ World แล้วเช่น รัฐบาลประเทศเคนย่า ที่เป็นประเทศแรกที่ทำการแบน Worldcoin เมื่อปี 2023 โดยอ้างถึงความเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ เนื่องจากมีการเก็บข้อมูลทางชีวภาพ
ถัดมาในช่วงเดือนมีนาคมปี 2024 Worldcoin ก็ได้ถูกสั่งให้หยุดกิจกรรมการเก็บข้อมูลในประเทศสเปนตลอดทั้งปี เนื่องจากถูกหน่วยงานกล่าวหาว่า มีการเก็บข้อมูลชีวภาพจากผู้เยาว์ และมีการปฏิเสธสิทธิในการถอนคำยินยอมในการเก็บข้อมูลจากผู้สมัคร ซึ่งทางบริษัทก็ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันว่าพวกเขาปฏิบัติตามกฎหมายถูกต้องทุกประการ
เช่นเดียวกับโปรตุเกส และเกาะฮ่องกงที่ได้มีการออกคำสั่งแบน Worldcoin และสั่งยุติการให้บริการ ซึ่งทั้งสองประเทศได้อ้างถึงความต้องการที่จะปกป้องสิทธิและข้อมูลของประชาชน ขณะที่ทางเกาหลีใต้ได้มีการสั่งปรับ Worldcoin เป็นเงินกว่า 1.1 พันล้านวอน เนื่องจากละเมิดกฎหมายปกป้องข้อมูลของประชาชน
ที่มา : Cointelegraph