<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สับขาหลอก ! Bitcoin ร่วงทะลุ $105,000 อย่างรุนแรง หลังศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ สั่งคืนสถานะ’ภาษีทรัมป์’ 

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ราคา Bitcoin ร่วงหนักทะลุระดับ $105,000 ลงมาอย่างรุนแรงในช่วงเช้าของวันศุกร์  (30 พฤษภาคม) หลังศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯ มีคำสั่งให้คืนสถานะมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ 

อ้างอิงตามข้อมูลกราฟ BTC/ USDT บน Coinmarketcap  พบว่าตลอดช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา Bitcoin ได้ปรับตัวลดลงกว่า 2.43% จากระดับราคาสูงสุดระหว่างวันที่ $108,892 มาสู่ $104,600 ในขณะที่รายงาน

สาเหตุที่ทำให้ราคาของ Bitcoin ร่วงลงอย่างหนักในวันนี้ คาดว่าเป็นผลมาจากความเคลื่อนไหวของศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯ ที่มีคำสั่งให้คืนสถานะมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้มีผลชั่วคราว  เพื่อคำตัดสินนี้ทำให้ฝ่ายบริหารของทรัมป์มีเวลามากขึ้นในการยื่นอุทธรณ์

คำตัดสินดังกล่าวสวนทางกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นก่อนหน้านี้ ที่เห็นว่า “มาตรการภาษีทรัมป์” ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยอำนาจเศรษฐกิจในภาวะฉุกเฉิน (IEEPA) ซึ่งการกลับมาของภาษีนี้หมายถึงการส่งสัญญาณว่า “ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศอาจกลับมาอีกครั้ง” โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

ในแง่ของตลาดคริปโตฯ นักลงทุนบางรายเริ่มแสดงความวิตกว่า การหวนคืนสู่ยุคกีดกันทางการค้าอาจส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก และลดความต้องการในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Bitcoin ที่ก่อนหน้านี้เพิ่งดีดตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเดือนเหนือ $110,000 ได้ไม่นาน

อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์จาก Matrixport วิเคราะห์ในรายงานประจำวันที่ 16 พฤษภาคม 2025 ว่า

Bitcoin ได้ฟื้นตัวขึ้นสู่ขอบบนของช่วงการสะสมที่ระดับ $106,000 และตลาดโดยทั่วไปคาดว่า Bitcoin จะทะลุจุดสูงสุดตลอดกาล โดยมีปัจจัยกระตุ้นที่หลากหลาย เช่น การผ่อนคลายความเสี่ยงขาลงและการคาดการณ์ว่า Bitcoin จะเข้าสู่ช่วงการซื้อขายที่เอื้อต่อการเติบโตก่อนเดือนกรกฎาคม 

ด้านข้อมูลจาก CoinGlass เผยว่า ภายในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมานับจากประกาศดังกล่าว ได้มีการล้างพอร์ต (liquidation) จากนักลงทุนที่เปิด Long Position และ Short Position ไปแล้วเป็นมูลค่ากว่า $724 ล้าน จากนักเทรดจำนวน 197,783 ราย

นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า การชำระหนี้ของ FTX ที่จะเริ่มต้นในวันที่ 30 พฤษภาคม 2025 ซึ่งคาดว่าจะมีการชำระหนี้คืนเป็นเงินมูลค่าประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์ในรูปแบบ stablecoins ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มสภาพคล่องในตลาดคริปโตฯ และกระตุ้นโมเมนตัมของ Bitcoin ในเดือนมิถุนายน